หางานหาดใหญ่ หาดใหญ่ ชัดทุกเรื่องเมืองหาดใหญ่ สงขลา อับเดตข่าวหาดใหญ่ Hatyaifocus สาวสวยหาดใหญ่ หนุ่มหล่อหาดใหญ่

เรื่องราวหาดใหญ่

บางกล่ำ | อภินิหาร "หลวงปู่เฟื่อง" โครงกระดูก 2 ร่าง และ บิณฑบาตที่เกาะภูเก็ต (ตอนที่ 1)
18 พฤษภาคม 2561 | 11,306

วันนี้มีโอกาสได้กล่าวถึง หลวงปู่เฟื่อง เกจิอาจารย์ที่เป็นที่นับถือของคนบางกล่ำ ในบทความ 16 คำขวัญจังหวัดสงขลา ก็เกิดความสนใจว่าท่านเป็นใครมาจากไหน จึงไปสืบประวัติของท่านมาให้ผูอ่านได้ทราบ

ย้อนหลังกลับไป...แต่เดิมหลวงปู่เฟื่องมีชื่อว่า "กลับ" มีถิ่นกำเนิดที่ ตำบลคลองพุมดวง อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฏร์ธานี อุปสมบทที่ วัดคลองพุมดวง ตอนอายุ 21 ปี โดยในปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้หายสาบสูญไปแล้ว เมื่อครั้งสายน้ำหลาก หลวงปู่เฟื่องได้ถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด ท่านเดินรอนแรมไปเรื่อยๆ เฉกเช่นพระอริยสงฆ์ในสมัยพุทธกาล อาศัยอยูตามป่าเขาลำเนาไพร ประทังชีวิตด้วยผลไม้ป่า ใบไม้ ผักหญ้า ท่านมักจะบำเพ็ญภาวนาภายในถ้ำ

หลวงปูเฟื่องศึกษาทางไสยเวทขาวและทางหลุดพ้น หลวงปู่เฟื่องเดินธุดงค์จากภาคใต้ไปยังภาคกลาง และต่อไปยังภาคอีสาน โดยผ่านป่าดงพญาไฟและดงพญาเย็น อันเป็นป่าดงดิบรกทึบเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด ถ้าดวงไม่แข็งสมาธิไม่มี ก็คงเอาชีวิตรอดออกจากป่าแห่งนี้ได้ยาก หลวงปู่เฟื่องมีไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์อันหนึ่ง โดยเป็นไม้เท้าที่ทำจาก "กัลปังหา" จากใต้ทะเล (กัลปังหา มีความเชื่อว่าสามารถป้องกันเวทย์มนต์ดำได้ทุกชนิด) เมื่อท่านจะพักแรม ก็จะนำไม้เท้ามาปักที่ดินแล้วอธิษฐานเวทมนต์ การเดินทางผ่านดงพญาเย็น จะพบบาตรและกลดของพระ ตกอยู่ระหว่างทางบ่อยครั้ง พอสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเสียชีวิตจากการที่ถูกทำร้ายโดยสัตว์ป่า มีความเชื่อว่าหลวงปู่เฟื่องได้เรียนรู้ศาสตร์วิชาพระป่า ภายในสถานที่ลึกลับแห่งนี้

เมื่อหลวงปู่เฟื่องหลุดออกจากดง ท่านก็พบหมู่บ้านภายในป่า โดยมีชาวบ้านอาศัยอยู่ราว 4-5 หลังคาเรือน ชาวบ้านเหล่านั้นเห็นพระในป่าก็เกิดความเลื่อมใส เนื่องจากการพบพระสงฆ์ในป่าไม่ใช่เรื่องง่าย ชาวบ้านจึงนำหมากพลู บุหรี่ และน้ำมาถวาย นั่งสนทนาธรรมสักครู่ก็แยกย้ายกันไป หลวงปู่ก็อาศัยร่มไม้เป็นที่พักตลอดคืน พอรุ่งเช้าหลวงปู่ก็ตื่นเช้ามาเดินบิณฑบาตร และท่านก็มานั่งฉันอยู่ใต้ต้นไม้ และเอ่ยปากกับชาวบ้านที่เดินตามมารับใช้ว่า “เมื่อคืนนี่นะโยม ฉันฝันว่าใต้พื้นดินที่ฉันพักอยู่นี้มีโครงกระดูกเก่าแก่ที่ยังไม่ได้เผาอยู่โครงหนึ่ง ขอความช่วยเหลือจากโยมช่วยขุดขึ้นมาเผาทีเถอะ เจ้าของจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที” ชาวบ้านได้ยินดังนั้นต่างตื่นเต้นและสงสัยว่าที่ท่านฝันจะจริงหรือไม่ จึงได้ชักชวนกันมาขุดลงไปในพื้นที่ตรงนั้น กว่าจะพบโครงกระดูกก็เหน็ดเหนื่อยไปตามๆกัน แล้วทุกคนก็หายเหนื่อยทั้งตื่นเต้นมากที่พบว่ามีโครงกระดูกจริงๆ แต่มันเก่ามากจนเหลือกระดูกเพียงบางส่วนเท่านั้น และทุกคนก็ลงความเห็นว่าท่ายคงเห็นด้วยตาทิพย์ ไม่ใช่ฝันเห็นเหมือนที่ท่านบอก พวกชาวบ้านก็ช่วยกันนำกระดูกเหล่านั้นขึ้นเชิงตะกอนเผากันตรงนั้น

เช้าขึ้นมาหลวงปู่ก็เดินทางออกจากหมู่บ้าน เดินทางหลายวันจนถึงชายแดนเขมร ท่านพบหมู่บ้านชาวนาแห่งหนึ่ง วันต่อมาท่านได้เดินบิณฑบาตรเช่นเดิน เมื่อฉันเสร็จท่านก็บอกกับชาวบ้านว่า "ตรงพื้นที่นั่งนี้มีโครงกระดูกอย่างโครงหนึ่ง ขอให้ญาติโยมช่วยกันขุดขึ้นมาเผาเสียที เจ้าของเขาจะได้ไปผุดไปเกิด" ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็ช่วยกันขุดจนพบโครงกระดูกจริงๆ จึงจัดการทำพิธีเผาตามคำของหลวงพ่อ (ภายหลังทราบจากลูกศิษย์ของหลวงปู่ว่า โครงกระดูกทั้ง 2 นี้ คือ ซากศพของหลวงปู่เมื่อ 300 ปีที่แล้ว ที่หลวงปู่ให้ขุดมาเผา ก็เพื่ออยากให้วิญญาณของท่านหลุดพ้น) หลังจากนั้นท่านก็ออกตามขุดอีกหลายร่าง

ต่อมาหลวงปู่ก็เดินลัดเลาะเลียบชายฝั่งทะเลทางภาคตะวันนอก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกลับภาคใต้ ใช้เวลาเดินทางหลายเดือนก็ถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านนมัสการพระบรมธาตุ และเดินทางต่อไปยัง เมืองตรัง กระบี่ พังงา และนั่งเรือข้ามไปยังภูเก็ต โดยเรื่องที่ภูเก็ต หลวงปู่ใช้ร่มไม้เป็นที่พักอาศัย ซึ่งสมัยนั้นภูเก็ตส่วนใหญ่เป็นคนจีน เจ้าเมืองและชาวบ้านไม่รู้จักว่าพระสงฆ์เป็นอย่างไร รู้แต่ว่าพระสงฆ์ต้องอยู่ในวัด ถ้าไม่อยู่ในวัดก็ไม่ใช่พระ เมื่อมีคนเห็นหลวงปู่พักอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ จึงนำความไปแจ้งให้เจ้าเมืองทราบ เจ้าเมืองจึงส่งคนไปขับไล่หลวงปู่ แต่หลวงปู่ท่านก็ไม่ว่าอะไร นิ่งๆ เฉยๆ รุ่งเช้าหลวงปู่ก็ออกเดินบิณฑบาตรตามเดิม เมื่อเสร็จก็กลับมานั่งใต้ต้นไม้อย่างเดิม เจ้าเมืองรู้จึงโกรธจัด ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปขับไล่หลวงปู่ ถ้าหลวงปู่ไม่ยอมก็ให้ถอดจีวรออก เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงก็กุมตัวหลวงปูเฟื่อง พร้อมทั้งถอดจีวรท่านออก หลวงปู่ร้องตะโกนว่า "กูไม่สึก กูไม่สึก" เจ้าหน้าที่จับหลวงปู่ลากไปตามท้องถนน ชาวบ้านมากมายต่างพากันมามุงดู คนไม่รู้ความจริงก็โห่ตะโกนขับไล่ คนที่รู้ก็ได้แต่สลดใจ พูดอะไรไม่ได้ เพราะกลัวอำนาจเจ้าเมือง เรื่องไปถึงหูผู้รู้ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นหมอ เป็นที่เคารพนับถือของชาวภูเก็ต คุณหมอได้เข้าไปอธิบายให้เจ้าเมืองได้ทราบถึงพระแต่ละประเภท เมื่อเจ้าเมืองทราบก็ปล่อยหลวงปู่ คุณหมอได้นำจีวรไปถวายท่าน ชาวบ้านที่เลื่อมใสต่างก็เข้าไปกราบไหว้แล้วปวารณาว่าจะนำบาตรและบริขารที่เขานำไปทิ้งมาถวายท่านใหม่ แต่หลวงพ่อปฏิเสธที่จะรับเครื่องบริขารจากพวกชาวบ้าน พวกเขาจึงนิมนต์ท่านให้ออกจากเมืองภูเก็ตเสีย หาไม่จะมีอันตราย หลวงพ่อตอบว่า “ฉันไปแน่นอนแต่จะขอบิณฑบาตสัก 3 เช้าจึงจะไป” ตอนนั้นชาวบ้านก็ลืมนึกไปว่าท่านไม่มีบาตรจะเดินบิณฑบาตได้อย่างไร พวกเขาได้แต่คิดกันว่าถ้าเป็นเช่นนั้น วันรุ่งขึ้นจะรอใส่บาตรหลวงพ่อที่หน้าบ้านของตน และได้พากันนิมนต์หลวงพ่อไว้เพื่อการนั้น

รุ่งเช้าบรรดาชาวบ้านต่างก็ถือขันข้าวยืนรออยู่หน้าบ้านของตนเอง คอยแล้วคอยเล่าก็ไม่มีพระภิกษุหนุ่มเดินมาทางนั้น เขาจึงใส่บาตรให้พระรูปอื่นๆ ที่ผ่านมารูปแล้วรูปเล่า จนสายแล้วก็แน่ใจว่าท่านคงไม่มาแน่ พอดีเขานึกขึ้นได้ว่าท่านไม่มีบาตร เพราะเจ้าหน้าที่เอาไปทิ้งลงทะเลจนหมด พวกเขาจึงจัดข้าวปลาอาหารใส่ปิ่นโตชวนกันเดินทางไปหาพระภิกษุหนุ่มที่โคนไม้ เมื่อมาถึงก็เห็นท่านนั่งอยู่พร้อมบาตรที่ถูกเจ้าหน้าที่โยนทิ้งไปแล้ว จึงได้เรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อไปเอาบาตรที่เขาทิ้งลงทะเลแล้วมาได้อย่างไร” ท่านตอบว่า “มันเป็นของฉันก็ต้องอยู่กับฉัน จะไปอยู่กับคนอื่นได้อย่างไร” เขาถามท่านว่า “เช้านี้หลวงพ่อไปบิณฑบาตที่ไหน เพราะพวกเขารอจนสายก็ไม่เห็นท่านไปตามคำนิมนต์” พระภิกษุหนุ่มตอบว่า “ฉันก็ไปบิณฑบาตในตลาดของโยมนั่นแหละ” ชาวบ้านก็นึกว่าท่านอาจเดินไปอีกเส้นทางหนึ่งก็เป็นได้

พอเช้าอีกวันหนึ่ง...ชาวบ้านต่างก็ยืนรอใส่บาตรท่านเหมือนเดิม คอยจนสายก็ไม่เห็นวี่แววของพระภิกษุหนุ่มเดินมารับบาตรทางนั้น จึงจัดอาหารใส่ปิ่นโตไปถวายท่านที่โคนไม้อีก พร้อมทั้งต่อว่าที่ท่านไม่ไปบิณฑบาตตามคำนิมนต์ ท่านเปิดบาตรให้ดูว่า “นี่ไง ฉันไปมาแล้วนี่ โยมดูข้าวปลาอาหารที่พวกโยมถวายสิของใครบ้างก็คงจำกันได้” ขาวบ้านเห็นดังนั้นก็จำได้ว่าเป็นข้าวปลาอาหารของตนๆที่ใส่บาตรพระในเช้าวันนั้น ก็ได้แต่สงสัยว่าตนได้ใส่บาตรให้ท่านตอนไหน เพราะไม่มีใครจำได้เลยว่าได้ใส่บาตรท่าน                 

พอเช้าวันที่ 3 ชาวบ้านต่างก็ยืนรอใส่บาตรท่านอีก ก็ได้ใส่ให้แต่พระรูปอื่นๆ แต่ไม่เห็นท่านเดินไปบิณฑบาตทางนั้นแม้แต่เงา โดยมีชายแก่คนหนึ่งสังเกตได้ว่า มีพระรูปหนึ่งที่ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อนมาเดินบิณฑบาต จึงเกิดความสงสัยขึ้น พอใส่บาตรให้ท่านเสร็จ ก็มอบขันข้าวให้เด็กเอาไปเก็บ ส่วนตัวเองก็สะกดรอยตามพระแก่รูปนั้นไปเรื่อยๆ เพราะอยากรู้ว่าท่านมาจากไหน และก็ได้เห็นท่านเดินตรงไปที่โคนไม้ที่พระภิกษุหนุ่มพักอยู่ พอถึงโคนไม้แล้วร่างของท่านก็กลับเป็นพระภิกษุหนุ่มทันที ชายแก่จึงร้องดังลั่นว่า “จับได้แล้วๆ พระหนุ่ม พระแก่ หลวงพ่อนี่เอง” พร้อมกันนั้น เขาก็ก้มลงกราบพระภิกษุหนุ่มด้วยความปลื้มปิติที่ตัวเองได้มีโอกาสได้สัมผัสกับพระอริยเจ้าผู้วิเศษ ทั้งยังได้ทำบุญใส่บาตรให้ท่านด้วย

จากนั้นข่าวที่ชายแก่จับได้ว่าท่านคือใคร ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วเกาะภูเก็ตชาวบ้านต่างดีใจ แต่ก็เสียใจว่าท่านจะออกจากเกาะภูเก็ตแล้ว โอกาสที่จะได้เห็นและได้ทำบุญกับท่านไม่มีอีกแล้ว จึงวันนั้นมีคนมารุมล้อมท่านมากมาย เพื่อถือโอกาสจะตามส่งท่านขึ้นเรือข้ามฟากด้วย ทางเจ้าของเรือข้ามฟากแต่ละลำต่างก็คอยที่จะรับโอกาส พาท่านข้ามฟากเพื่อเอาบุญกุศลจากท่าน แต่ทั้งชาวบ้านที่รอส่งท่านและเจ้าของเรือแจวต่างก็รอท่านจนค่ำ ไม่เห็นว่าท่านจะเตรียมตัวออกเดินทางแต่ประการใด จึงเข้าใจว่าท่านคงจะพักอยู่อีกคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นจะได้นำข้าวต้มมาถวายท่านแต่เช้า เมื่อปรึกษาเห็นพ้องต้องกันแล้วก็กราบอำลาท่านกลับบ้าน                 

พอรุ่งขึ้นทุกคนต่างก็ถือหม้อข้าวต้มมุ่งหน้าสู่โคนไม้ พอถึงก็พบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาร่างของพระภิกษุหนุ่มจึงได้เดินทางไปที่เรือข้ามฟากเพื่อสอบถามว่า ใครเป็นผู้รับท่านขึ้นเรือข้ามฟาก แต่ไม่มีเรือจ้างลำไหนที่มีโอกาสรับท่านข้ามฟาก ไม่ว่าจะกลางค่ำคืนหรือเช้าวันนั้น ชาวบ้านก็ได้แต่งุนงงสงสัยว่า ท่านข้ามฟากไปฝั่งโน้นได้อย่างไร บางคนที่เข้าใจก็พูดว่า “แปลงร่างเป็นคนแก่ท่านยังทำได้ ทำไมจะข้ามฟากโดยไม่ใช้เรือไม่ได้”

คลิก *** ติดตามต่อตอนที่ 2 ***

เรื่องที่เกี่ยวข้อง