วันนี้เราออกเดินทางไปถึงพื้นที่แม่ทอม บางกล่ำ เพื่อที่เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่มีใจจิตอาสาในการพัฒนามาบ้านเกิดมาอย่างยาวนาน ชายคนนี้มีชื่อว่า นายชาญวิทูร สุขสว่างไกร จบการศึกษาปริญญาตรีมศว. ปัจจุบันก็คือมหาวิทยาลัยทักษิณ ด้านคณะศึกษาศาสตร์ จบการศึกษาตอนปี 2535 หลังจากนั้นไปทำงาน เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่จบออกไปก็ประกอบอาชีพรับราชการ (คุณครู) แต่ตัวเราเองไม่ได้ชอบเรื่องครู อยากที่จะทำงานเอกชน พยายามจะหางานอะไรที่ตัวเองทำแล้วชอบ ชอบลุย ๆ เรียนรู้ชีวิตคน
ส่วนตอนปริญญาโทเราก็จบสายจิตวิทยาการแนะแนว ตอนนั้นขึ้นไปอยูที่กรุงเทพ ก็ได้สมัครในตำแหน่งฝ่ายบุคคลของห้าง ด้วยเหตุผลที่ว่าอายุเยอะก็ไม่มีปัญหาในการทำงาน ทำอยู่หลายปีมาก ย้ายไปมาหลายจังหวัด จนตำแหน่งสุดท้ายเราได้เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล เราทำงานในองค์กรแบบนี้ถึง 12 ปี ทำจนเราอิ่มตัว ช่วงนั้นหลังกลับมาอยู่บ้านความคิดในหัวเบื่องานที่ต้องไปรับใช้คนอื่น ก็เลยไม่ทำงาน ตั้งใจว่าจะไม่ทำงาน จะทำยังไงที่จะหาความรู้ประสบการณ์มาพัฒนา จึงตัดสินใจไปเรียนต่อปริญาตรีทางด้านรัฐศาสตร์ รปศ. หลังจากนั้นก็ต่อปริญญาโทรัฐศาสตร์ แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา พี่ก็ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับสาขาที่เรียนมาเลย
จบอะไรมาบ้างคะ?
ล่าสุดพี่มาจบแพทย์แผนไทย เวชกรรมของราชฎัฎสงขลา ตอนนั้นเรามองเห็นชุมชนเราจึงตัดสินใจเรียนทางด้านนี้ คือจริง ๆ ทุนเดิมพี่ชอบในเรื่องของภูมิปัญญาอยู่แล้ว เลยอยากจะทำอะไรที่มันสืบทอดภูมิปัญญาชุมชน ช่วงที่พี่อยู่ในปี2547 พี่มองเห็นเรื่องอะไรหลาย ๆ เรื่องในชุมชนว่า ชุมชนมันต้องมีคนเข้าไปจัดการสร้างความตระหนักรู้ อยากช่วยคนจน ไม่ได้เดือดร้อน เราอยู่แบบพอเพียง ส่วนตัวผมนั้นมีน้อง 6 คน ผมเป็นคนโต ที่สำคัญผมทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุดคือส่งน้องจนประสบความสำเร็จไปหมดแล้ว จึงคุยกับแม่ว่าผมไม่ทำอะไรแล้วนะ อยากที่จะช่วยชุมชน
เริ่มแรกที่เข้ามาในปี2547 เราเห็นความแตกแยกความไม่สามัคคีในชุมชน แต่ก่อนเราไปบ้านไหนคือเป็นพี่น้องกันเลยคนในชุมชนทักทาย แต่มันมีเหตุการณ์ที่เกิดการเมืองท้องถิ่นมันทำให้คนแตกแยก วัดก็ไม่มีคนเข้า ไม่มีคนไปจัดการชุมชนปล่อยปละละเลย ต่างคนต่างอยู่ จึงได้มานั่งวิเคราะห์แล้วว่าถ้าเราจะสร้างการมีส่วนร่วมคนในชุมชนเราจะทำยังไง แต่สิ่งสำคัญก็พยายามที่จะเดิน ขี่รถมอไซค์ร้าย ๆ ขี่ไปเรื่อย ๆ เพราะพี่อยากได้ข้อมูลประวัติต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่ในชุมชน มีอะไรบ้างที่เป็นปัญหา พูดง่าย ๆ คือเราอยากรู้ตัวบริบทของชุมชน
เป้าหมายของพี่คืออะไร?
- พี่อยากจะยกรับดับชุมชน แต่การที่เราจะยกระดับชุมชนได้ เราก็ต้องมีข้อมูลที่มากพอ ต้องรู้ทุกเรื่อง ในด้านสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม จึงวางแผนไว้ อะไรจะเกิดก็เกิด ถ้าไม่สมใจหวังก็จะไปบวช เพราะเราเบื่อที่เห็นสังคมมันย่ำแย่ เพราะพี่ทำกิจกรรมมาเยอะ มันไม่ได้ดั่งใจ แต่ก่อนเราก็เป็นคนเกเร ชอบเที่ยวสังรรค์ กินเหล้า อบายมุขทั้งหมด สุดท้ายไม่มีอะไรดีกับตัวเราเลย จนสุดท้ายมาคิดได้
เราพัฒนาอะไรมาบ้างคะในชุมชน?
-อันดับแรกเลยพี่พัฒนาในเรื่องของวัด จากการชวนคน เพราะเห็นว่าเราจะหาศูนย์ร่วมกันชองในชุมชนอย่างไร ก็คือใช้หลักการ บ้าน วัด โรงเรียน อดีตเราก็ใช้วัดเป็นจุดศูนย์รวม จริง ๆ มันก็มีเรื่องราวตอนที่พี่อยู่ภาคอีสาน เจ้าอาวาสวัดที่นี่ก่อนแกจะเสีย 2-3 เดือน หลวงพ่อท่านเองได้สั่งพ่อไว้ว่าให้พี่ลงมาหาแกหน่อยให้มาเยี่ยม ในวันนี้ที่แกจะเสีย แกก็พูดกับพี่ว่าฝากวัดด้วยนาอ่ำ เราก็คิดในใจว่าฝากอะไรกับผม (ในใจนะ) ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้คิดอะไรเลย แต่พอเรากลับมาจึงได้คิดถึงคำมั่นสัญญาเหมือนจะเป็นแรงที่เราต้องกลับมาหาแกให้ได้
กลับมาตอนแรกก็ตั้งต้นที่วัดนี่แหละ ก็คิดชวนคนเข้ามา ตอนนั้นยอมรับว่าไม่มีคนเข้ามาสักคนเลยนะ วัดนี่เละเทะ แต่พี่ก็เริ่มทำทีละนิดลงทุนเองจัดการเอง คุยกับคนนั้นคนนี้เอง แต่มันก็ต้องมีวิธีการว่าเราจะคุยจัดการยังไง เราจะต้องดึงจากใคร ตอนนั้นก็ได้เข้าไปคุยจนได้รับการพัฒนา จนวัดได้รับรางวัลยูเนสโก
เวลาที่พี่ออกไปไหนพี่ก็มักจะพูดเรื่องของพี่ พูดเรื่องวัด เขาก็ถามนะพูดไปทำไม พี่เลยต้องบอกว่าวัดคูเต่า มีความสำคัญอย่างไร เราก็พูดทุกครั้งที่มีโอกาส จนคนสงสัยว่าวัดคูเต่ามันมีอะไรที่น่าสนใจเราก็บอกเขา จนเขาลงมาดูจนได้รับงบประมาณในการปรับปรุงภูมิทัศน์ ชวนชาวบ้านเข้ามาพัฒนาถมที่ ก็เลี้ยงข้าวอะไรกันไป พอมันเห็นภาพมันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทำอยู่ประมาณ 3 ปี ที่หนัก ๆ เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพี่ก็ยังลงหาข้อมูลทั้งหมดในตอนเย็น ๆ ก็เดินไปแล้วเหมือนคนบ้าเลยบางที
หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนเห็นเริ่มมีคนรู้จัก มีการหางบประมาณมาพัฒนาเราจับจากจุดเล็ก พอทำไปทำมามันดีขึ้นจากวัดมาชุมชน คือพูดง่าย ๆ คนในชุมชนพร้อมใจกันทำ กว่าจะคุยรู้เรื่องก็ถือว่านาน ปลูกผัก หน้าบ้านต้องปรับให้สวย ข้างหลังต้องสะอาดเริ่มเรื่อย ๆ วันละ 3-5 ครัวเรือน มีผักสวนครัวไว้กิน ประสบความสำเร็จในช่วงนั้นผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ลงมาดู ว่าเราสร้างกระบวนการชุมชนได้อย่างไร
ตอนนั้นของกรมศิลปากรตอนนั้นพี่ก็ขอไป 24 ล้าน เพื่อที่จะเอามาพัฒนาวัด ก็ได้มาประมาณ 15 ล้านกว่า มาทำ ตอนนี้คือปรับปรุงขึ้นมาเยอะเลยทุกสิ่งอย่าง ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่ คนก็เริ่มเชื่อ เริ่มเข้าใจว่าเราทำอะไร แล้วไม่ได้หวังอะไร ตอนนี้สำหรับพี่ พี่ว่าวัดสมบูรณ์แล้วนะ อยู่ที่ว่าเราจะจัดการให้มันดีขึ้นยังไง
ในส่วนของชุมชนมีการวางแผนอะไรบ้าง?
-พี่ก็มาขับเคลื่อนตัวชุมชน พี่ก็ต้องทำให้กว้างขึ้นทั้งอำเภอ ดังนั้นรูปแบบพี่พยายามมองว่าพอคนรู้จัก คนก็พยายามที่จะเอาไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ จนมั่วไปหมด จนมาคิดว่าเราก็เอาแค่ในส่วนที่เราถนัด และเราก็สามารถที่จะไปช่วยเขาได้ โดยงานลักษณะแบบนี้มันเป็นงานจิตอาสาคือคุณต้องเสียสละทั้งเวลา รถค่าน้ำมัน แรงกาย แรงใจต่าง ๆ เราก็พยายามที่จะปลูกฝังคนอื่น ๆ ให้เดินตามรอยเราอยู่ แต่ก็ทำยาก การที่จะปลูกฝังใครสักคนมันเลยต้องใช้เวลา และมีวิธี
ส่วนในการท่องเที่ยวชุมชนในตอนนั้นที่เราทำไป มันเห็นฟีดแบคกลับ เห็นงานเกิดพยายามพัฒนาที่ละส่วน เราคิดแค่ว่ารวยไปก็ต้องตาย ลูกก็ไม่มี เลยไม่อยากสร้างอะไรมากมาย อยู่ให้สุขภาพจิตดี อย่าเจ็บอย่าไข้ ถ้าเราอยู่ได้อย่างนี้ชีวิตก็สุขแล้วนะสำหรับพี่ ก็แค่อยากนำประสบการณ์ที่เราทำงานมาไปบอกต่อคนอื่น ๆ ให้เขาสร้างวิธีคิด พี่ก็มีสอนเด็ก ๆ ในหลายวิชาอยู่เหมือนกัน ส่วนพืชสมุนไพรที่พี่เก็บไว้ในบ้านนั้นและปลูก ในอนาคตก็มีความตั้งใจไว้ที่จะนำมาช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยในชุมชนต่อไป
ตอนนี้เราภูมิใจในตัวเองมากน้อยแค่ไหน ?
- คือตอนนี้ความภูมิใจของพี่มันมีนะ แต่ถามว่าสุดยัง คงยังไม่สุดเพราะทำขบวนการชุมชนนั้นพี่ว่ามันไม่มีสิ้นสุด ต้องไปเรื่อย ๆ สำคัญที่สุดเลยคือตัวชุมชนต้องตระหนักรู้ พึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องไปพึ่งพิงคนอื่น คือในวันนี้อ่ะต้องบอกว่าพอเกิดอะไรขึ้นเราก็จะพึ่งพาแต่หน่วยงานรัฐ แล้วทำไมเราไม่พึ่งพาตนเองเรามีมือมีเท้า แต่ทำไมเราขวนขวายที่จะเรียนรู้ เพราะฉะนั้นพี่ต้องบอกว่าการทำชุมชนการสร้างคนมันสร้างยาก ที่จะให้แต่ละคนมีโอกาสที่จะเป็นพลเมืองที่ดีได้พี่ว่าก็ยากนะ
ส่วนตัวพี่นั้นมองว่าเป้าหมายที่พี่ทำไว้นั้นตั้งแต่ในปี 2547 มา จนถึงตอนนี้พี่ภูมิใจมากครับที่ได้สร้างหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งตอนนั้นเองเราก็เริ่มจากการที่ไม่มีอะไรเลยเหมือนกันครับ จนมีคนที่เข้าใจ มีทีมทำงานที่เข้ามาช่วยพัฒนาสร้างชุมชนให้เข้มแข็งและน่าอยู่ เพราะสิ่งที่พี่ทำมาทั้งหมดมันสามารถเล่าต่อกันเป็นทอด ๆ ได้นั่นเอง
"หลวงทุ่งจินดา"ขวัญใจเด็กสะเดาแจกนมขนมฟรี ทำมานานกว่า 17 ปี เราเป็นผู้ให้ที่มีความสุข
29 เมษายน 2567 | 436"คนสงขลา" ศิษย์เก่า ม.ขอนแก่น รุ่นที่ 1หมายเลขนักศึกษา 001 คณะเกษตรศาสตร์
6 กุมภาพันธ์ 2567 | 30,439"เจ๊หลั่น"ทายาทโรงขนมเหนียนเกาหรือขนมเข่ง ทำมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ กว่า 40-50 ปี หนึ่งเดียวในสะเดา
31 มกราคม 2567 | 2,575ผู้ก่อตั้งเพจเรื่องนี้ฉายเถอะ คนหาดใหญ่อยากดู คอมมูนิตี้ที่เปิดกว้างต้อนรับทุกเพศทุกวัยที่ต้องการจะเปิดประสบการณ์การดูหนังที่ไม่เหมือนใคร
5 มกราคม 2567 | 2,770"น้องน้ำฝน"นางสาวสมิหลาสงขลา ประจำปี 2566 สวย เก่ง ครบ สมตำแหน่งที่ได้รับ
6 กรกฎาคม 2566 | 13,684"เซียวบ๊ะจ่าง"ป้าจำลอง ความอร่อยกว่า 80 ปี บ้านทับโกบสะเดา สูตรอาม่าชาวแต้จิ๋ว เมืองซัวเถา ประเทศจีน
21 มิถุนายน 2566 | 1,732ผู้ก่อตั้งเพจ Hatyai Connext กลุ่มคนขับเคลื่อนเมืองหาดใหญ่ ผ่านการสื่อสารที่เป็นเอกลักษณ์ในมุมมองใหม่
30 พฤษภาคม 2566 | 2,948"หินสีครีม"ช่างซ่อมหนังสือหนึ่งเดียวในย่านเมืองเก่าสงขลา
28 ธันวาคม 2565 | 3,020