หาดใหญ่น้ำท่วม คงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงปลายปี เนื่องจากเมืองหาดใหญ่มีลักษณะเป็นเสมือนแอ่งกระทะ หลายคนไม่เข้าใจว่า เวลาน้ำท่วมหาดใหญ่ ทำไมปริมาณมีน้ำมากมายเหลือเกิน ในปัจจุบันเมืองหาดใหญ่ประสบปัญหาภัยน้ำท่วมเบาบางลงไปอย่างมาก โดยมีคลองภูมินาถดำริ หรือ คลอง ร. ที่เราชาวหาดใหญ่เรียกกันคอยระบายน้ำออกจากเมืองหาดใหญ่ ลงสู่ทะเลสาบอย่างรวดเร็ว หลายคนคิดว่าคลอง ร. ต่าง ๆ นั้น มาจากตัวอักษรย่อของแต่ละรัชกาล แต่แท้จริงแล้วตัว "ร." ย่อมาจากคำว่า "ระบาย"
"...ไปดูทางด้านตะวันตกของเมือง มีถนน แต่ว่าถนนนั้นพยายามทำขึ้นมาแล้วเป็นคล้าย ๆ ผนังกั้นน้ำมิให้น้ำเข้าไปในเมือง ก็ไม่ได้ทำหรือทำแล้วก็ไม่ได้รักษา ทางทิศเหนือ หรือทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีถนนที่กำลังสร้าง หรือสร้างใหม่ ๆ กั้นน้ำเป็นเหมือนเขื่อน มิให้น้ำออกจากตัวเมืองได้ จึงทำให้น้ำท่วมในตัวเมืองถึง 2 เมตร 3 เมตร ทีแรกได้ยินข่าวว่าน้ำท่วม 2 เมตร 3 เมตร ไม่เชื่อ ฟังวิทยุ ดูในหนังสือพิมพ์ว่า ทำไมน้ำจะท่วมได้ 2 เมตร 3 เมตร ก็เป็นความจริงว่าท่วม ท่วมรถยนต์ไม่เห็นเลย ท่วมไปหมด คนที่อยู่บ้านชั้นเดียว ก็ต้องปีนขึ้นไปบนหลังคา อันนี้เป็นความจริง แต่ว่าถ้าหากทำอย่างที่ว่า ซึ่งบอกให้ทำมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ทำพนัง หรือคัน และไม่ทำถนนที่กั้นน้ำเป็นเขื่อน ก็จะทำให้ตัวเมืองหาดใหญ่ไม่เป็นอ่างเก็บน้ำ ที่แปลก โดยมากก็ชอบทำเป็นอ่างเก็บน้ำ เพื่อจะเก็บน้ำเอาไว้ใช้ แต่นี่มาทำอ่างเก็บน้ำเอาไว้จม...”
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานในโอกาสที่คณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าเฝ้า ฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันจันทร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2543
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2543 เมืองหาดใหญ่ มีฝนตกตลอด 3 วัน มีปริมาณน้ำฝนสะสมราว 500 มม. ส่งผลให้เมืองหาดใหญ่กลายเป็นเมืองบาดาลไปในทันที โดยมีการระบุว่าระดับน้ำท่วมในตัวเมืองหาดใหญ่ ช่วงสาย 1 - 3 (นิพัทธ์อุทิศ) มีความลึกเกือบ 2 เมตรครึ่ง ถือได้ว่าเป็น มหันตภัย น้ำท่วมในครั้งนั้น เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ปกติน้ำฝนที่ตกในเขตเทือกเขาสันกาลาคีรี บริเวณพรมแดนไทยและมาเลเซีย จะระบายผ่านคลองอู่ตะเภา ผ่านอำเภอหาดใหญ่และไหลลงสู่อ่าวไทย บริเวณทะเลสาบสงขลา แต่ปี พ.ศ.2543 มีการระบายน้ำที่ติดขัดเนื่องจากขูคลองตื้นเขิน และมีการสร้างถนนสายลพบุรีราเมศวร์ เป็นถนนที่สร้างขึ้นกีดขวางทางน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมในที่สุด เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว...พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมชลประทานจัดทำโครงการบรรเทาอุทกภัย ในพื้นที่เมืองหาดใหญ่ อันได้แก่ การสร้างแก้มลิงบริเวณตีนเขาคอหงส์ การสร้างคลองภูมินาถดำริ ต่อมาโครงการที่ในหลวงพระราชทานไม่ได้รับการดูแลที่ดี จึงเกิดเหตุซ้ำอีกครั้งในปี พ.ศ.2548 แต่เหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงเท่าปี 2543 และเกิดซ้ำขึ้นอีกในปี พ.ศ.2553 น้ำท่วมในครั้งนี้แม้จะมีปริมาณน้ำที่ค่อนข้างเยอะ แต่ก็ระบายออกจากเมืองหาดใหญ่ภายในคืนเดียว
"...เหตุการณ์ครั้งนี้เกินกว่าที่เราจะแบกรับได้ คลอง ร.ต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก และเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ “ในหลวง” ทรงมีต่อชาวหาดใหญ่ เนื่องจากคลองเหล่านี้ มีผลโดยตรงต่อการบรรเทาสถานการณ์ เพราะหากวันนี้ไม่มีคลอง ร. ช่วยไว้ หาดใหญ่จะสูญเสียมากกว่านี้หลายเท่าตัว เนื่องจากนับวันการชะลอน้ำโดยธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องยาก ในอนาคตสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ การสร้างและเพิ่มแก้มลิงในพื้นที่รับน้ำ รวมถึงต้องขุดคลองผันน้ำเพื่อระบายน้ำออกจากคลองอู่ตะเภาก่อนน้ำจะไหลสู่เมืองหาดใหญ่ ซึ่งหมายถึงต้องใช้ความร่วมจากทุกภาคส่วนร่วมด้วย เพราะเม็ดเงินนั้นมหาศาล ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าเกินอำนาจของท้องถิ่นที่จะเข้าไปดูแล แต่ยืนยันว่าเราจะผลักดันในทุก ๆ ทาง..." นายไพร พัฒโน ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับ "คม ชัด ลึก"
ในหลวงเคยตรัสไว้ในปี พ.ศ.2531 เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและบรรเทาอุทกภัยด้วยวิธีสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำที่คลองอู่ตะเภา ไม่สามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากไม่มีทำเลที่เหมาะสมในการสร้าง สิ่งที่ทำได้คงจะเป็นเพียงการขุดคลองระบายน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยระบายน้ำลงสู่ทะเลสาบสงขลาได้เร็วขึ้น ทางหน่วยงานปกครองท้องถิ่นก็นำไปปฏิบัติ โดยมีการขุดลอกคูคลองในปี พ.ศ.2532 แต่ก็ไม่ได้ดูแลจนคูคลองตื้นเขิน และเกิดมหัตภัยในปี พ.ศ.2543
เหตุการณ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ถือกำเนิด "คลองระบายน้ำภูมินาถดำริ" ซึ่งคลองทั้ง 7 สาย สามารถระบายน้ำรวมกันได้ 1,075 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2544 แล้วเสร็จในปี 2550 แต่ในปี พ.ศ.2553 เกิดพายุดีเปรสชั่นในพื้นที่ภาคใต้ มีฝนตกติดต่อกัน 3 วัน เกิดน้ำท่วมตัวเมืองหาดใหญ่ ปริมาณน้ำไหลผ่านมีมากถึง 1,623.50 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งนั้นเกิดกว่าคลองทั้ง 7 สายจะรับมือได้ จึงเกิดน้ำท่วมในที่สุด แต่น้ำปริมาณมากมายมหาศาลก็ถูกระบายออกไปภายในคืนเดียวเท่านั้น ต่อมากรมชลประทานจึงเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของคลองระบายน้ำภูมิดำริ มีการขุดลอกเพิ่มขึ้น มีการสร้างผนังกั้นให้แข็ง และที่สำคัญคือการสร้างประตูระบายน้ำขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของคลองภูมิดำริ 1 เพียงเส้นเดียว ให้สามารถระบายน้ำได้เร็วถึง 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (จากเดิม 465 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) สิ่งเหล่านี้คือกุญแจสำคัญ ที่ทำให้หาดใหญ่พ้นภัย เกษตรกรไม่ขาดแคลนน้ำ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ
ข้อมูล/ภาพ : สะตอ4ยู
เขียนเรียบเรียง: หาดใหญ่โฟกัส
ย้อนชมภูมิปัญญาการทำขวัญข้าว สู่การสร้างวงเวียนพระแม่โพสพ ศูนย์รวมจิตใจชาวระโนด
8 มิถุนายน 2568 | 541เปิดที่มาชุมชนประวัติศาสตร์ บ้านควนจง (นาหม่อม)
8 มิถุนายน 2568 | 735วิถีมุสลิมบ้านดอนขี้เหล็ก "ประเพณีการทูนพานอาหาร" ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี
8 มิถุนายน 2568 | 588เปิดตำนาน...ที่มาชื่อบ้านบ่อแดง อ.สทิงพระ
25 พฤษภาคม 2568 | 1,240ของดีของหรอยท่าเลออก ตลาดริมทางของผู้สัญจรผ่าน ณ สามแยกบ่อทราย (ปากรอ)
25 พฤษภาคม 2568 | 3,583ตำนานทวดเข้...ทวดขุนดำ-ทวดแขนลาย แห่งสายน้ำคลองท่าม่วง อ.ควนเนียง
25 พฤษภาคม 2568 | 2,143ร่องรอยจากอดีต พิพิธภัณฑ์วัดท่าช้าง(บางกล่ำ)
18 พฤษภาคม 2568 | 912เจ้าบ่าวน้อยแห่งควนเขาสูง : วีรบุรุษชุมชนท้องถิ่น บ้านพรุเตาะ ต.ทุ่งใหญ่
18 พฤษภาคม 2568 | 2,316