หางานหาดใหญ่ หาดใหญ่ ชัดทุกเรื่องเมืองหาดใหญ่ สงขลา อับเดตข่าวหาดใหญ่ Hatyaifocus สาวสวยหาดใหญ่ หนุ่มหล่อหาดใหญ่

เรื่องราวหาดใหญ่

ผีในโรงแรม ณ เมืองหาดใหญ่
4 ตุลาคม 2560 | 112,931

หาดใหญ่ - โรงแรม - น้ำท่วม - วิญญาณ

นานมาแล้ว.. ช่วงหาดใหญ่น้ำท่วมใหม่ ๆ ช่วงนั้นเป็นปรากฏการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ที่หนักที่สุด ประเด็นสำคัญ คือ มีคนตาย!! ตายเพราะน้ำท่วม ตายในลิฟท์ ตายเพราะจมน้ำ ตายในลานจอดรถ สารพัดความสูญเสียและความตายเกิดขึ้นในหลากหลายพื้นที่ในเขตนอกเมืองและตัวเมืองหาดใหญ่ ปัญหาสำคัญ คือ คนตายจุดไหนจริง ๆ ใครรู้บ้าง?

หาดใหญ่เมืองในฝันเขตชายแดนมาเลเซียในตอนนั้น กลายสภาพเป็นเหมือนเมืองร้าง เมืองเงียบเหงา มองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่และสีอาคารต่าง ๆ ที่เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน

คุณปรีชามีภารกิจสำคัญในการไปเยือนหาดใหญ่ ท้าความสยองแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า ไปหาดใหญ่ช่วงนี้ไม่ใช่คำตอบที่ดีแน่ ๆ แต่ปรีชาก็เลือกจะไป เพราะสิ่งเดียวที่อยากได้จนกลบความกลัวสุดขีด คือ มือถือ motorola สถานที่ปลายทาง คือ สิงคโปร์หาใช่หาดใหญ่ไม่ ปรีชาเลือกเดินทางคนเดียวจากภูเก็ตเพื่อไปสิงคโปร์ โดยเลือกรถบัสเป็นพาหนะที่จะบันทึกความทรงจำดี ๆ ระหว่างการเดินทาง การรีบร้อนเดินทางโดยเครื่องบิน ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของนักท่องเที่ยวสายอินดี้อย่างเขา

เมืองหาดใหญ่เป็นเมืองที่ปรีชาใช้เป็นแค่จุดต่อรถเพื่อเดินทางต่อไปยังสิงคโปร์ แต่แล้วปรีชากลับต้องมาหาโรงแรมในเมืองหาดใหญ่ เพื่อค้างคืนแล้วเดินทางต่อไปยังสิงคโปร์ในวันรุ่งขึ้น โดยเขาให้มอไซค์รับจ้างพามาส่งโรงแรมที่ไม่มีประวัติการตาย มอไซค์พามาส่งตรงบริเวณไม่ไกลจากตลาดกิมหยง ไม่ห่างจากตลาดสันติสุขเท่าไหร่ สภาพของโรงแรมดูเก่า ๆ หน่อย ปรีชาถอนหายใจและก้าวเท้าเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ของโรงแรม พร้อมถามคำถามตรงประเด็นกับพนักงาน

"ที่นี่น้ำท่วมรึเปล่า? และคนพักเยอะไหมครับ?"
"คำตอบที่ได้มาคือ น้ำไม่ท่วมเพราะเป็นเนิน ..และคนพักเต็มหมด เหลือห้องว่างห้องเดียว" พนักงานตอบพร้อมยื่นกุญแจขนาดใหญ่มาให้ 1 ดอก เป็นกุญแจที่ดูน่ากลัวมาก เพราะเป็นป้ายกุญแจทำจากอะคริลิคสีน้ำเงินขนาดใหญ่มากแบบโบราณพร้อมกุญแจดอกโบราณขนาดใหญ่ แต่ความประหลาดอยู่ที่ป้ายนี้มีเทปกาวพันรอบป้ายกุญแจห้อง สรุปป้ายนี้หักแตกครึ่งท่อนและถูกพันด้วยเทปกาวแบบหยาบ ๆ ทิ้งไว้ แค่เห็นกุญแจก็หนาวจับจิตจับใจ

ปรีชาใจสั่นระรัวและรับกุญแจจากพนักงานมา สายตามองไปรอบ ๆ โรงแรมจนรู้สึกได้ว่า โรงแรมเงียบมาก ไม่มีใครเลย ยกเว้นพนักงานโรงแรม 2 คนหน้าเคาน์เตอร์และตัวปรีชาเอง

ปรีชาเข้าไปในลิฟท์ กดเลข 4 ลิฟท์เก่า ๆ มีกลิ่นเหม็นอับชื้น กลิ่นอับเหม็นเตะจมูก ฉุนจนต้องเอามือปิดจมูก ลิฟท์ขึ้นผ่านแต่ละชั้นเอื่อย ๆ จนไฟกระพริบมาหยุดอยู่ชั้น 4 ปรีชากั้นใจรอลิฟท์เปิด เพราะคาดเดาไม่ได้เลยกับสิ่งที่รออยู่ตรงหน้า ลิฟท์เก่า ๆ อยู่ดี ๆ ก็เปิดเองดังปัง! ภาพตรงหน้าคือมืดมาก ไฟทางเดินอะไรไม่เปิดเลยเหรอ มีแต่ไฟเก่า ๆ ระหว่างกำแพงทางเดิน สลัว ๆ ปรีชาก้าวขาออกมาจากลิฟท์ ขวามือหน้าลิฟท์ คือ เคาน์เตอร์ ปรีชาแปลกใจกับลักษณะการจัดวางเคาน์เตอร์ ทำไมมาวางไว้หน้าลิฟท์แบบนี้ และมองไปบนโต๊ะ มีสมุดปากกาครบ และมีไฟฉายเปิดทิ้งไว้ และกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ เหมือนใครสักคนพึ่งทิ้งโต๊ะไปไหนสักแห่ง

ปรีชาตะโกนดัง ๆ ว่า พี่ครับ พี่..มีใครอยู่ไหมครับ...ทุกอย่างเงียบกริบ เงียบสนิท ตอนนี้มีแค่ทางเดินมืด ๆ ไฟสลัว ๆ บนกำแพง เคาน์เตอร์ที่ไม่มีคน ไฟฉายที่เปิดค้างและกลิ้งอยู่เบา ๆ บนโต๊ะ ปรีชารีบมองป้ายเพื่อเดินเข้าห้องให้เร็วที่สุด ระหว่างเดินไปก็ปลอบใจตัวเองว่า คนพักเต็มเว้ย เต็มทุกห้อง และทุกห้องมีคนนอนอยู่ เพื่อนเยอะแยะ กลัวอะไร

ปรีชาเดินมาถึงห้องพักหมายเลข 427 ห้องนี้ตั้งอยู่บริเวณสุดทางเดิน ก่อนไขกุญแจเข้าห้อง ปรีชาหันไปสำรวจบริเวณหน้าห้อง พอจับภาพได้ว่า ตรงข้ามห้องของตัวเอง มีห้องพักอีกหนึ่งห้อง ทั้งสองห้องคือห้องสุดท้ายของตึก และเป็นทางตัน มีกำแพงกั้นและไม่ใช่ทางหนีไฟ กุญแจที่ไข ไขได้ยากมาก ๆ ใช้เวลาไข ค่อนข้างนานพอสมควร เสียงไขกุญแจดังอยู่ท่ามกลางความเงียบและมืดมากของนอกห้อง ขนหัวลุกเป็นระยะ ๆ

เมื่อไขห้องด้วยกุญแจเก่า ๆ ผ่านประตูไม้ ประตูห้องพักแบบโบราณ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ เพราะบวมน้ำจากความชื้น ขวามือคือห้องน้ำที่มีคราบสนิมขึ้นอยู่เป็นจุด ๆ พื้นกระเบื้องที่มีคราบแดง ๆ ดำ ๆ เหมือนคราบเลือด บรรยากาศห้องน้ำก็กินขาดหนังผีทุกเรื่องในทีวีแล้ว

ปรีชาอยู่ในห้องอย่างเงียบเชียบ สักพักเริ่มรู้สึกหิว จึงรวบรวมความกล้าเดินออกจากห้อง มาหยุดตรงที่เคาน์เตอร์หน้าลิฟท์ สังเกตที่เคาน์เตอร์ไม่ปรากฏไฟฉาย แสดงว่าชั้นนี้ต้องมีพนักงานอย่างแน่นอน ปรีชาเข้าไปในลิฟท์ แล้วออกไปรับประทานอาหารค่ำ ถุงผลไม้สด ๆ ถูกถือกลับมายังโรงแรม ปรีชาพบกับคุณลุงคนหนึ่งที่หน้าโรงแรม และพลั้งปากถามไปว่า "โรงแรมนี้ มีคนตายรึเปล่า" สิ่งที่ได้ยินตอบกลับมาทำให้ปรีชาตัวสั่น คุณลุงบอกกับปรีชาว่า "หนุ่มเอ๊ย พักไปได้ไงโรงแรมนี้ เดี๋ยวคืนนี้รู้เอง!" คำพูดนั้นทำเอาปรีชาใจตกไปตาตุ่ม ปรีชารวมความกล้าอีกรอบเดินไปหาพนักงานเคาน์เตอร์เพื่อถามว่า "พี่ เอาชัวร์ ๆ นะ โรงแรมนี้คนพักเต็มทุกห้องเลยเหรอ?" พนักงานไม่สบสายตาพร้อมตอบว่า "ใช่ โรงแรมถึงจะดูเก่าแต่ไม่เคยมีประวัติพี่ สบายใจได้"

ปรีชาถอนหายใจแล้วกดลิฟท์กลับขึ้นไปบนห้องหมายเลข 427 เวลาประมาณตีหนึ่ง ปรีชานอนไม่หลับ จึงไปหยิบองุ่นไร้เมล็ดของตัวเองโยนใส่ปาก เพื่อฆ่าเวลา และเผาบรรยากาศหลอน ๆ ด้วยการเปิดทีวีให้ดัง ๆ สักพักปรีชาได้ยินเสียงแอร์ดัง วื้ดดๆๆๆ สติสตางค์ไปหมดแล้ว ปรีชากะว่าคืนนี้ไม่นอนในห้องแล้ว ไม่ไหวจริง ๆ กะเป็นตายร้ายดี นอนโซฟาห้องโถงโรงแรมดีกว่า แต่ระหว่างที่นึก ๆ อยู่ ก็เหลือบไปเห็นแสงที่หน้าต่าง เขาเดินไปเปิดหน้าต่าง และมองเห็นแสงไฟจากท้องถนนส่องเข้ามาในห้อง พลันสังเกตไปที่ห้องอื่น ๆ ไม่มีแสงไฟเลยสักห้อง แสดงว่าไม่มีใครพักในโรงแรมที่เขาอยู่เลย 

ปรีชาที่ยังคงนั่งตัวแข็งอยู่บนเตียง กำลังจะลุกจากเตียงรีบวิ่งไปที่ประตู เสียงไอดังขึ้นจากข้างห้อง ได้ยินชัดว่าห้องข้าง ๆ กำลังไอ เสียงไอมีลักษณะแหบแห้งเหมือนเสียงคนป่วย ปรีชาโล่งใจที่ข้างห้องมีคน นั่งต่ออีกหน่อยดีกว่า น้ำจากช่องแอร์เริ่มหยดลงพื้น ดังแป๊ะ ๆ ๆ ปรีชาเป่าปากอีกรอบ และคิดว่า จะอยู่หรือไปดีหว่า

ไม่กี่อึดใจถัดไป มีเสียงกดชักโครกในห้องน้ำ เสียงกดชักโครกซ้ำ และมีเสียงเปิดน้ำล้างมือ..ปรีชาถอยหลังไปชิดหน้าต่าง และเปิดหน้าต่างไว้เพื่อรอตะโกนแหกปากในกรณี อะไรบางสิ่งในห้องน้ำโผล่ออกมา..ข้างห้องยังคงไอเป็นระยะ ๆ ฟังแล้วรู้เลยว่า เสียงไอมาจากคนที่มีอายุเกิน 60 แน่นอน

ตอนนี้ความคิดเรื่องวิ่งฝ่าไปนอนที่โซฟาโรงแรมเพื่อรอให้ถึงเช้าหมดไปแล้ว เหลือทางออกเดียวคือ กระโดดระเบียงลงไปเลยถ้าจำเป็น เสียงกดชักโครกเล่นยังคงไม่หยุด หรือเสียงที่ได้ยินจะเป็นเพียงแค่เสียงสะท้อนของห้องอื่น ๆ หรือจากห้องพักชั้นบน หรือเสียงน้ำผ่านท่อน้ำเก่า ๆ แม้จะคิดให้ดีแค่ไหน ห้องน้ำประตูเปิดอยู่ แค่ลุกไปดู ทุกคำถามมีคำตอบรอเฉลยทันที เพียงแค่ลุกไปดู เสียงไอจากข้างห้องดังเป็นระยะ ๆ เป็นเสียงไอจากคนป่วยที่ฟังแล้วดูทรมานมาก เสียงหยดน้ำจากแอร์ดังเข้าโสตประสาท ตอนนี้เสียงกดชักโครกเงียบลงให้ปรีชาพอหายใจหายคอได้บ้าง และแล้วก็มีเสียงคนเดินอยู่หน้าห้อง เป็นเสียงที่ฟังแล้วรู้เลย เสียงจากรองเท้าส้นสูงผู้หญิงกำลังเดินมาจากไกล ๆ และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

เสียงดังเก๊าะ แก๊ะ เก๊าะแก๊ะ น้ำหนักเท้าลงกระแทกพื้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ปรีชาภาวนาให้เสียงนั้นไปหยุดอยู่ไกล ๆ

สุดท้ายปรีชามองผ่านช่องประตูโบราณเก่า ๆ ขนาดใหญ่ รองเท้าส้นสูงสีแดงเลือดหมู! ก็มาหยุดยืนท่ามกลางความมืดอยู่หน้าห้อง!!!

ใครสักคนใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงกำลังหยุดยืนหน้าห้องในลักษณะ ปลายรองเท้าชี้ไปทางกำแพงตัน และลักษณะเท้าบ่งบอกได้ว่า เธอกำลังลังเลที่จะเคาะประตูห้องไหนระหว่างห้องปรีชากับห้องตรงกันข้าม

ใจสั่นระรัว มือสั่นจนหยิบจับอะไรไม่ได้เลย ปรีชาไม่ละสายตาจากช่องใต้ประตู ช่องใหญ่ขนาดนั้น แม้ไม่ตั้งใจมอง ก็เห็นตาตุ่มและข้อเท้าแน่นอน สิ่งเดียวที่กังวล คือ บุคคลที่ใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงและยืนอยู่ในตอนนี้เป็นคนใช่หรือไม่? ทำไมเธอหยุดยืนแบบนั้นหลายสิบนาทีแล้ว?

ชักโครกมีเสียงกดเองอีกแล้ว รอบนี้เสียงดังฟังชัด รู้เลย ชัดเลย ตอนนี้ห้องน้ำถูกใช้บริการจากบางสิ่งที่ยังไม่โผล่จากห้องน้ำมาให้เห็น ปรีชาละสายตาจากช่องประตูแค่แว๊บเดียว รองเท้าคู่นั้น หายไปแล้ว!

ไม่กี่นาทีถัดไป เสียงก๊อกแก๊ก ๆ ๆ ๆ ดังมาจากไกล ๆ อีกแล้ว และเสียงรองเท้ากระแทกพื้นก็เข้าใกล้เรื่อย ๆ รองเท้าสีแดงคู่เดิม ข้อเท้าเดิมเลย หยุดยืนหน้าห้องลักษณะเดิมอีกแล้ว หันเท้าเข้าไปหากำแพงตัน

ปรีชารู้ละ นอกห้องไม่น่าจะใช่คนปกติธรรมดา ใครที่ไหนจะมาหยุดยืนและหันหน้าเข้าหากำแพงแทนที่จะหันรองเท้าเข้าหาห้องพัก ขณะที่รองเท้าแดงคู่นี้ ยังไม่ขยับไปทางไหน เสียงไกล ๆ ของรองเท้าอีกคู่ก็ดังขึ้นอีก รองเท้าแดงคู่แรกยังยืนแน่นิ่งอยู่หน้าประตู แล้วเสียงรองเท้าคู่ใหม่ละ มาจากไหน? และเป็นของใครอีก?

จะให้เปิดประตูห้องและวิ่งฝ่าลงไปนอนข้างล่าง ตอนนี้ไม่ใช่ทางออกที่ฉลาดแล้ว

หมดทางออก ปรีชาเปิดหน้าต่างไว้ เอาตูดขยับไปวางตรงขอบหน้าต่างเพื่อประเมินสถานการณ์รอบด้าน..เสียงรองเท้าส้นสูงอีกคู่เดินเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ มาทางหน้าห้องพัก และเดินทะลุกำแพงตันไปเลย..รองเท้าอีกคู่หายไปแล้ว แต่รองเท้าสีแดงคู่เดิมยังหยุดยืนอยู่หน้าห้อง หลายสิบนาทีแล้ว ยังไม่ไปไหน!

ปรีชากลัวแทบใจจะขาด เพราะรู้แล้วว่า ตอนนี้นอกห้อง ไม่ใช่คนแน่ ๆ  ...ในห้องน้ำก็ไม่ใช่ ข้างห้องผู้ป่วยที่ไออยู่ก็ไม่น่าจะใช่ และเสียงรองเท้าส้นสูงก็แว่วจากไกล ๆ มาอีกแล้ว ภาพรองเท้าสีแดงหยุดยืนหน้าห้อง ฉายวนไปวนมาหลายรอบ และรองเท้าสีแดงที่ทะลุกำแพงตันไปได้ก็แสดงวนไปวนมาอีกหลายรอบ

ตี 3 กว่าละ ปรีชายังคงนั่งตัวเกร็งบนขอบหน้าต่างเหมือนเดิมไม่ไปไหน ภาพและเสียงในห้อง นอกห้อง ถูกถ่ายทอดด้วยระบบเซอร์ราวด์ และคราวนี้ รองเท้าคู่เดิม ได้หันปลายเท้ามาทางห้องของปรีชา และเธอก็เริ่มเคาะห้องเบา ๆ ดัง ๆ สลับกันไป หัวรองเท้าสีแดงหันมาทางห้องปรีชา

ช่องใต้ประตู (ใหญ่มาก) จนเจ้าของรองเท้าสามารถเอาปลายรองเท้าโผล่ทิ่มเข้ามาในห้อง

ปรีชาเพ่งสายตาไปมองรองเท้าสีแดง รองเท้านั้นหายไปอีกแล้ว

มีเสียงพูดคุยนอกห้อง เป็นเสียงผู้หญิงเล็ดลอดเข้ามา เป็นเสียงผู้หญิงหลายคนกำลังยืนคุยกันออกอรรถรส

ปรีชาพยามอย่างมากที่จะจับใจความการคุยกันของเสียงนอกห้อง เสียงรองเท้าส้นสูงดังก๊อกแก็กมาแต่ไกลอีกแล้ว แต่รอบนี้เป็นเสียงลงน้ำหนักเท้าดังขึ้น และมีเสียงพวงกุญแจจากการแกว่งไปแกว่งมารวมอยู่ด้วย สักพัก เสียงรองเท้าก็หยุดไกล ๆ เหมือนสองสามห้องถัดไป แต่ไม่ไกลจากห้องนี้นัก เสียงกุญแจไขประตูดังขึ้น เสียงไม้เก่าจากประตูและบานพับสนิมเขรอะ ถูกเปิดออก และห้องนั้นก็ปิด

สักพักนึง เสียงรองเท้าส้นสูงกระแทกน้ำหนักเดินเข้ามาพร้อมเสียงเขย่ากุญแจ กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ....มาหยุดยืนหน้าห้องปรีชา ลักษณะหัวแม้เท้าหันไปหากำแพงตันอีกแล้ว รอบนี้มีเสียงหยิบกุญแจขึ้นมา และไขไปที่ห้องตรงข้าม เสียงประตูห้องตรงข้ามเปิดออก และปิดลง ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูห้องปรีชาก็ดังขึ้นอีกแล้ว เสียงเคาะถี่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่เบา ๆ ปรีชามองไปที่ช่องประตูเช่นเคย รอบนี้รองเท้าหายไปอีกแล้ว

แต่ภาพที่เห็นตอนนี้ที่ช่องประตูใหญ่ ๆ กลับกลายเป็นเห็นปลายเส้นผมยาว ๆ กองอยู่หน้าประตูในลักษณะ เจ้าของรองเท้าสีแดง กำลังก้มลง หรือนั่งลงเพื่อจะก้มตัวลงมา มองทะลุประตูหาคนที่อยู่ในห้องคือปรีชา

สิ่งที่ปรีชาไม่อยากเห็นกำลังจะเกิดขึ้น ปรีชาเริ่มเห็นผมสีดำค่อย ๆ เอียงลงมาเรื่อย ๆ จนเห็นโครงหน้าเจ้าของรองเท้าสีแดง...ปรีชามองไปที่ช่องประตู และสิ่งที่เห็นตรงหน้าตอนนี้คือ ภาพผู้หญิงใบหน้ามีแต่เลือดสด ๆ ปากห้อยเหมือนโดนมีดหรือขวานจามหน้าขาดมา ปากห้อยย้อยเต็มไปด้วยเลือด กำลังก้มลงมองผ่านช่องประตูและกำลังสบตากับปรีชา

ปรีชาตัดสินใจกระโดดจากหน้าต่าง หยิบเป้ติดมือ และตัดสินใจกระโดดระเบียงจากชั้น 3 กระโดดหาจุดจับยึดชั้ น2 และกระโดดโดยไม่คิดชีวิตจากชั้น 2 ลงมากระแทกพื้นคอนกรีตชั้น 1

ตอนนั้นแม้จะเจ็บและได้แผลถลอก แต่ด้วยความกลัวที่สะสมระดับไข้หัวโกร๋นทำให้ปรีชาไม่รู้สึกอะไรเลยสักอย่าง

ภาพผู้หญิงใบหน้าเปื้อนเลือดโดนอาวุธหนักบางอย่างฟาดซะจนปากแหว่ง หน้าช่วงล่างขาดครึ่ง ภาพนั้นติดตาจนลืมไม่ลง

เช้ามืดแล้ว  ปรีชาวิ่งเผ่นแน๊บออกจากโรงแรมแบบไม่คิดชีวิต ไปนั่งทานข้าวต้มรอบเช้าในตลาดด้วยอาการขวัญผวา และถามคำถามเดิมอีกรอบกับพ่อค้าแม่ค้าย่านนั้น และคำตอบที่ได้ฟัง ทำให้ปรีชาจำคืนแรกของหาดใหญ่ไปจนวันตาย

โรงแรมนี้คนท้องถิ่นไม่กล้าแม้จะไปเหยียบด้วยซ้ำ เพราะเป็นโคมแดงหรือสถานที่ขายบริการโบราณเก่าแก่ และห้องทุกห้องในแต่ละชั้น ก็ใช้เป็นห้องรับรองอารมณ์เปลี่ยวเหงาของลูกค้า ค้างคืนบ้าง ชั่วคราวบ้างสลับกันไป และหลายห้องก็มีเหตุฆาตกรรมฆ่ากันตาย ส่วนใหญ่จะมีคดีฆ่าชิงทรัพย์ คนที่ตายก็คือผู้หญิงให้บริการที่นั่น พอตายก็ปิดข่าว และหลังจากโดนตำรวจบุกทลาย ทางผู้บริหารก็เอากลับมาตกแต่งใหม่นิดหน่อยและทำเป็นห้องพักรายวันราคาถูก มีทั้งแอร์และพัดลม

ที่นี่เคยเป็นซ่องเก่า ผู้หญิงบางคนติดโรคร้ายก็ใช้ห้องนอนเป็นที่ฆ่าตัวตายด้วยวิธีผูกคอตายหรือกินยาตาย และมีบางห้องเคยได้ยินมาว่า โดนผู้ชายเอาขวานจามจนหน้าแหว่ง หน้าขาดหายไปครึ่ง ได้ยินมานานแล้ว แต่ไม่รู้ห้องไหนชั้นไหน?


และที่นี่ ไม่มีคนหลุดมาพักนานแล้ว เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่า ผีดุมาก...มีแต่น้องหละที่กล้า คนแถวนี้ขอนับถือใจจริง ๆ เลย

และระวังมอไซค์ที่นี่ดี ๆ นะ ชอบหลอกพาลูกค้ามาพักที่นี่ เพราะทางโรงแรมมีน้ำใจรายเดือนตอบแทนให้ตลอด ส่วนมากถ้ามาจาก บขส.ท่ารถบัสละก็ โดนหลอกมาพักที่นี่ทุกรายและโดนผีหลอกทุกคน

 

CR: The Shock 13 / Pantip
เรียบเรียงใหม่: หาดใหญ่โฟกัส

เรื่องที่เกี่ยวข้อง