เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นที่ตำหนักเขาน้อย จังหวัดสงขลา ในช่วงยามค่ำคืน โดยผ่านประสบการณ์ขนหัวลุกของชายคนหนึ่ง ซึ่งเล่าไว้ว่า ผมเป็นคนพัทลุงครับ แต่มาทำงานอยู่สงขลา ใช้ชีวิตอยู่สงขลามา รวมตอนเป็นทหารเรือด้วยก็น่าจะราว ๆ 4-5ปี เพราะแฟนเรียนที่ ราชภัฏสงขลาด้วย พอเรียนจบก็เลยหางานทำ เงินเดือนพอใช้กัน 2 คนไปตามอัตภาพ
เรื่องที่ผมจะเล่า มันคือประสบการณ์ที่เจอมากับตัวเอง จริงๆเรื่องผี ๆ สาง ๆ ถ้าเล่าให้คนที่เขาไม่เคยเจอเขาก็จะหาว่าเราเพ้อ เรามโนไปเอง ผมไม่ว่าใครหรอกถ้าจะว่าแบบนั้น เพราะสมัยนึงที่ผมไม่เคยเห็น ผมก็ว่าคนที่เล่าเรื่องผีว่าบ้าเช่นกัน อันเรื่องการเห็นวิญญาณ หรือผีนี้ ที่ผมเจอส่วนมาก จะไม่ได้เห็นแบบชัดเจนหรือมาเป็นตัวเป็นตน ส่วนใหญ่ที่เจอจะมาแบบเห็นเป็นเงาอยู่ไกล ๆ พอเราเดินเข้าใกล้ก็หายไปแบบนี้เสียมากกว่า
โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นที่เขาน้อย หากใครเป็นคนสงขลา อาจจะพอนึกภาพออกว่าเขาน้อยอยู่ตรงไหน เขาน้อยคือเขาลูกเล็ก ๆ อยู่ติดกับเขาตังกวน โดนมีถนนที่มุ่งไปชายหาดแบ่งกลาง 2 เขา หากใครไปเที่ยวชายหาดสมิหลา ตรงรูปปั้นนางเงือก จะต้องเห็นเขาลูกเล็ก ๆ ที่มีถนนตัดยาวขึ้นไปบนเขา แล้วไปลงอีกฝากตรงเขาตังกวนบนเขาจะมีลิงอยู่ฝูงใหญ่ จะมีสวนสาธารณะเล็กๆ ไว้ออกกำลังกายที่ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงใหม่ให้น่าเดินกว่าเก่า
นอกจากนั้นยังมีอนุสาวรีย์ของกรมหลวงชุมพรอยู่บนยอดด้วย จะมีจุดชมวิวเห็นแหลมสน เกาะหนูเกาะแมวโดยที่บนนั้นจะมีทางแยกออกจากทางหลักไปทางซ้ายมือ ที่ปลายทางนั้น จะมีบ้านร้างหลังใหญ่ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคือบ้านอะไร แต่ดูคล้าย ๆ เหมือนจะเป็นโรงแรมเก่า แต่ถูกปล่อยทิ้งไว้ จนกลายเป็นสถานที่ ที่พวกวัยรุ่นจะมามั่วสุม ขีดเขียน พลอดรัก หรือตบตีกันบนนั้นตรงหน้าโรงแรมร้างนั้น จะมีต้นโพธิ์ผูกผ้าแพรต้นใหญ่อยู่ด้วย และข้างทาง ก็จะมีศาลาหลบฝนเก่าๆผุพังอยู่2ศาลา บ่อยครั้งที่ผมขับรถขึ้นไปตอนกลางคืนจะเจอหนุ่มสาวมานั่งพลอดรักกันให้เห็นตอนกลางวันที่นี่จะค่อนข้างร่มรื่น แต่ไม่เหมาะที่สุภาพสตรีจะขึ้นมาเที่ยวบนนี้ตามลำพัง
เพราะผมเคยเจอบ่อยครั้ง ที่มีกลุ่มวัยรุ่นผู้ชายมานั่งมั่วสุม ตั้งวงกินเหล้ากินเบียร์กันอยู่ในป่าด้านบน หากสาวๆคิดจะขึ้นมาชมวิวบนนี้ควรมีเพื่อนชายขึ้นมาด้วยสัก 2-3 คน ยิ่งเวลากลางคืนด้วยแล้ว มันจะยิ่งเปลี่ยวจนไม่น่าจะพากันขึ้นมา แต่ผมก็พบบ่อยครั้งที่ผมพบวัยรุ่นผู้ชายพาแฟนตัวเองขึ้นมานั่งกอดกันบนนี้ในยามค่ำ ๆ ผมชอบมาที่นี่ เพราะผมเป็นคนชอบป่าเขา แต่ไม่ค่อยได้เข้าป่า พอเลิกงานเลยมักหาเวลาแวะมาเสมอ แม้งานผมจะเลิก 2 ทุ่มผมก็ยังมา ผมชอบขึ้นไปนั่งตรงจุดชมวิว อยู่สัก10 นาทีแล้วผมก็ไป แต่หากวันไหนเจอคู่รักมานั่งกอดกัน ผมก็จะขี่รถผ่านไป ไม่เข้าไปยุ่ง ผมก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรเลยนะเวลาอยู่มืดๆบนนั้น มันสงบและวังเวงดีเหลือเกิน
แล้วผมก็ได้ประสบพบเจออะไรแปลกๆ ผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร คืนนั้นผมทะเลาะกับแฟนหนักมาก ถึงขั้นไม่ยอมกลับไปนอนที่ห้องแล้วผมก็ไม่อยากไปรบกวนใคร เลยจัดการซื้อเสื้อผ้าหนา ๆ มือ2 ตัวละ 50 บาทข้างทาง ใส่ให้หนา ๆ เพื่อแทนผ้าห่ม ทั้งเสื้อทั้งกางเกง ซื้อโลชั่นกันยุงใน 7-11 ทาจนทั่วตัว ซื้อเสื้อกันฝนตัวใหญ่ ๆ แล้วขับขึ้นไปบนเขาน้อยตอนประมาณ2-3ทุ่ม เงียบสงัดเหมือนไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ ผมขึ้นไปจอดตรงจุดชมวิว จัดการล๊อคล้อรถ
แล้วเลือกทำเลที่นอนตรงข้างกำแพง ใช้กำแพงเป็นด้านหลัง นอนหันหลังให้ถนนโดยที่หากใครผ่านไปผ่านมาตรงนี้ ถ้าไม่เดินลงมาจะไม่เห็นผมนอนอยู่มันเป็นการนอนที่แสนธรรมชาติสุดๆ ด้านหลังเป็นกำแพงพิงหลัง ด้านหน้าเป็นต้นไม้ ด้านบนก็มีฟ้าเป็นมุ้ง ยุงไม่มากวนใจเพราะมีโลชั่นป้องกัน ส่วนหัวท้ายก็เปิดโล่งเข้าไปในราวป่าว หากใครขึ้นไปคงจะพอนึกภาพออก ความที่มันดึกและผมก็เหนื่อยล้ามาพอสมควร ผมปิดโทรศัพท์แล้วนอน
เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ สักพักก็ได้ยินเสียงฮือ ฮือ.... เสียงเหมือนใครร้องไห้ ปลุกให้ผมรู้สึกตัว เหมือนมีเสียงใครร้องไห้ มาจากที่ไกลๆ ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นเป็นเวลาเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่ได้เปิดโทรศัพท์ เพราะกลัวแฟนโทรตาม ผมนอนลืมตามองฟ้า ได้ยินเสียงสัตว์กลางคืนพวกแมลงส่งเสียงงี๊ดๆ ผมตั้งใจฟัง ว่าใช่เสียงใครมาร้องไห้แถวนี้หรือเปล่าที่ปลุกให้ผมลืมตา
แต่ก็ไม่มีเสียงอะไร พอตั้งท่าหลับตาจะนอนต่อ ก็ได้ยินเสียง ฮือ.. ฮือ...ฮือ ฮึด มันเสียงผู้หญิงร้องไห้แน่ ๆ ผมลืมตาโพลง ผมคิดว่าใครมาโดนแฟนทิ้งไว้บนนี้หรือเปล่าหว่า เพราะคู่รักหลายคู่ชอบพากันขึ้นมานั่งกอดกันบนนี้ตอนกลางคืน อาจจะทะเลาะกันแล้วผู้หญิงโดนทิ้งไว้ก็ได้เสียงดังลอยมาแผ่วๆ ผมเลยตัดสินใจจะออกตามหาต้นเสียง ค่อยๆลุกยันกายขึ้น
ตาที่ชินกับความมืด ทำให้ผมมองเห็นในความมืดได้ดีพอสมควร ผมค่อยๆเดินลงมาตามถนน มาจนถึงถามสามแพร่ง ที่เป็นทางแยกไปจากทางหลักนั้น ตอนนั้นที่ผมออกตามหาต้นเสียง เพียงเพราะอยากรู้ว่าใคร ผมเดินไปตามทางแยกนั้นช้าๆ ผมมองไปที่ศาลาริมทางศาลาแรก ในระยะ100เมตร ไม่เห็นว่ามีอะไร มีเพียงเงาสลัวๆของเสาศาลา เสียงเงียบหายไปแล้ว ผมค่อยๆเดินไปในความมืด จนเริ่มมองเห็นเงาของศาลาที่2 ที่อยู่ไม่ไกลกันในความมืด ผมมั่นใจว่ามีคนนั่งที่ศาลา 2 แน่ ๆ นั่งนิ่ง ผมไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะกลัวเจ้าของเงาจะกลัวตัวผมผมคิดว่าเจ้าของเงาคงเป็นสาวที่ถูกหนุ่มคนรักทิ้งเอาไว้แน่ ๆ อาจจะทะเลาะกันจนถูกทิ้งไว้โดยไม่สนใจ ผมก็คิดว่าจะเข้าไปถามไถ่เผื่อจะช่วยอะไรได้หากเป็นหญิงมาถูกทิ้งไว้ลำพังบนนี้ไม่ดีแน่ ผมยืนอยู่ศาลาแรก เลยตะโกนออกไปไม่ดังมาก น่าจะพอได้ยิน ว่า "น้อง เป็นอะไรมานั่งร้องคนเดียวดึกๆดื่นๆทะเลาะกับแฟนหรอ พี่มาดีนะ ให้ช่วยอะไรมั๊ย เดี๋ยวพี่จะเข้าไปหานะ"
จังหวะนั้นผมก้มหน้าเปิดโทรศัพท์ พอเงยหน้า ผมเห็นเงานั้นเดินออกจากศาลา มุ่งขึ้นไปทางโรงแรมร้างผมคิดว่าเอ้า สงสัยจะกลัวเรา ผมคิดจะก้าวเท้าตาม แต่ก็ต้องชักเท้ากลับ ค่อยเดินถอยออกมา
จะไม่ให้ผมชักเท้ากลับแล้วถอยได้ไง ก็เงานั้นตอนแรกก็รูปร่างเท่าหญิงปกติ แต่พอผมทำท่าจะเดินตาม ก็กลายเป็นเงาเดินโย่งๆเดินหายเข้าไปในต้นโพธิ์ที่มีผ้าแพรหลากสีมัดอยู่ ตรงหน้าโรงแรมร้างบนยอดเขาน้อยนั่น ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ตาฝาด และไม่ได้เมาขี้ตา ผมเลยเดินหันหลังสาวเท้าไวๆกลับไปที่รถตรงจุดชมวิว ผมไม่ได้ร้องเอะอะโวยวายหรือเสียขวัญขนาดหนัก แต่ก็กลัว แล้วผมก็ไม่กล้านอนแล้วตอนนั้น ขนลุกตลอดเวลา ผมกลัวว่าถ้าผมนอนต่อไป กลัวใครมันจะยื่นหน้ายาวๆมาดูผมตอนหลับ แค่คิดภาพผมก็ขนลุกและ เลยจัดการปลดล๊อคล้อแล้วบิดรถลงเขาน้อยไปนอนที่ใต้ต้นสนริมหาดแทน
หากคืนนั้นจะมีใครสักคนผ่านไปในหาดสมิหลา จะเห็นรถเวฟสีดำคันนึงจอดใต้ต้นสน แล้วจะมีชายคนนึงนอนตรงเก้าอี้ยาวใต้ต้นสนเอาเท้าพาดกับเบาะรถ ก็ไม่ต้องสงสัยว่าใครมันอินดี้มานอนกินลมทะเลอยู่แบบนั้น ก็ผมนี่แหละ
ส่วนใครอยากลองของ ก็ลองไปบนยอดเขาน้อยตอนกลางคืนดูนะ เผื่อจะมีโชคได้เจอร่างโย่ง ๆ ปริศนาที่น่าจะสิงอยู่ในต้นโพธิ์ด้านหน้าโรงแรมร้างบนนั้น ใครที่ขึ้นไปนั่งพลอดรักกันตอนค่ำๆบนนั้นตรงศาลาก็ระวังจะมีใครมานั่งดูเอาล่ะ บรึ๋ย แค่นึกถึงคืนนั้น แล้วพิมพ์เล่าเรื่องนี้ขนยังลุกเลย
ขอบคุณภาพข้อมูล : เรื่องลี้ลับพันทิป
ทวดหลักเขตเขาพับผ้า ตำนานอภินิหารบนเส้นทางตรัง - พัทลุง
27 กรกฎาคม 2568 | 411"วัดเกษมรัตน์" วัดโบราณกว่า 409 ปี มรดกทางวัฒนธรรมของชาวอ.จะนะ
27 กรกฎาคม 2568 | 278ชื่อนี้มีที่มา ถนนยนตรการกำธร (ถนนสายควนเนียง - สตูล)
27 กรกฎาคม 2568 | 1,402ชมภาพเก่าเมื่อ 89 ปีก่อน โรงงานแป้งสาคู ณ บ้านคลองแงะ (สะเดา)
13 กรกฎาคม 2568 | 463กว่า 161 ปี สุเหร่าบ้านพรุหมาก มัสยิดแห่งแรกของอำเภอเทพา
13 กรกฎาคม 2568 | 548ย้อนประวัติเรือพัทลุง เรือที่ใช้ติดต่อราชการระหว่างเมืองสงขลา-เมืองพัทลุง
13 กรกฎาคม 2568 | 580กัปตันวอสเบียน : ผู้ให้กำเนิดจักรยานพ่วงข้างคันแรกของปักษ์ใต้ ณ เชิงเขาตังกวน (สงขลา)
6 กรกฎาคม 2568 | 2,577ที่มาชื่อบ้านท่าช้าง อ.บางกล่ำ ย้อนรอยชม "เสาหงส์" ครั้งพม่ายกทัพตีหัวเมืองภาคใต้
6 กรกฎาคม 2568 | 776