เชื่อว่าที่ตรงนี้ ใครหลายคนคงเดินทางไปเที่ยววัดในสงขลาบ่อย เราคงจะมองเห็นตุ๊กตาภายในวัดที่ดูมีความเก่าแก่ ตุ๊กตาจีนสิงห์โต ทำด้วยหินแกะสลักประดับประดาอยู่โดยทั่ว โดยเฉพาะที่วัดกลาง หรือ วัดมัชฌิมาวาสของเรา นอกจากจะมีตุ๊กตาหิน กระถาง สิงห์โต ใบเสมา และเจดีย์หินขนาดใหญ่ ตามขอบข้างระเบียงซุ้มประตูและพื้นหน้าพระอุโบสถยังเป็นหินปูเป็นพื้น เป็นบริเวณโดยรอบ และโดยเฉพาะในวัดหลวง ที่เก่าแก่ใหญ่ๆหลาย ๆ วัด ล้วนใช้แผ่นหินและตุ๊กตาหินแกะเป็นรูปเทพเจ้าชาวจีน หรือรูปปั้นชาวจีน ที่วางเรียงรายอยู่รอบพระอุโบสถวัดกลาง และรายรอบในวัดพระแก้ว วัดอรุณ วัดโพธิฯรวมถึงวัดอื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร
แล้วทำไมเรียกว่า "ตุ๊กตาอับเฉา" หรือ "อับเฉาเรือ" ทำไมเป็นอย่างนั้น มีที่มาอย่างไร เนื่องจากในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ประเทศไทย (สยาม) มีการค้าขายสินค้ากับประเทศจีน ด้วยการขนส่งสินค้าด้วยเรือสำเภา ใช้ลมในการเดินเรือ เวลาไปก็มีสินค้าไทยบรรทุกไปเต็มเรือ แต่เวลากลับ ไม่สามารถเดินทางกลับด้วยลำเรือเปล่าๆ ได้ เนื่องจากจะไม่ปลอดภัย เรือจะไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากเรือสมัยโบาณใช้ไม้ที่มีน้ำหนักเบา และท้องโกลน เมื่อเจอคลื่นลมแรงจะโครงและอาจล่มได้ จึงจำเป็นต้องถ่วงน้ำหนัก ไม่ให้เรือเบาเกินไป จึงได้ใช้หินแกรนิตเป็นแท่งยาวแบนๆจัดเรียงไว้ใต้ท้องเรือเพื่อปรับสมดุลน้ำหนักเรือไม่ให้โคลงเครงมากเมื่อโต้คลื่นลม เมื่อถึงที่หมายกฌจะนำหินออกมาเพื่อบรรทุกสินค้ากลับ จึงนำหินถ่วงเรือมาใช้ปูถนนทำซุ้มประตูจีน เพราะมีความทนทาน หลังจากนั้นก็ปรับเปลี่ยนจากหินแท่งเป็นตุ๊กตาจีนแกะสลักจากหินและทำเป็นภาชนะหรือลวดลายรูปตามที่มีคนต้องการ บรรทุกไว้โดยนำตุ๊กตาหินไปไว้ที่ห้องใต้ท้องเรือ ที่เรียกว่า ห้องอับเฉา (Flood chamber)
เมื่อกลับถึงประเทศไทย จึงนำไปถวายวัด เพื่อใช้ตกแต่งสถานที่ ณ วัดราชโอรสาราม วัดประจำรัชกาลที่ 3 ซึ่งมีสวนจีนประดับ ตุ๊กตาอับเฉาจำนวนมาก เหตุที่เรียกห้องใต้ท้องเรือนี้ว่าห้องอับเฉา สันนิษฐานว่า ห้องนี้อยู่ในท้องเรือ เป็นทั้งห้องบรรทุกของ และถ่วงเรือไปในตัว ไม่มีใครลงไปอยู่ มีความเงียบเหงา มีกลิ่นอับไม่มีลมระบาย นั่นเอง เพื่อเรือจะได้วิ่งเต็มที่ท้าคลื่นลมแรงได้มากปัจจุบันมีการสร้างเรือที่มีปีกซ้ายขวา การถ่วงเรือก็จะใช้การปรับระดับน้ำสูบเข้า ถ่ายออกการใช้หินถ่วงเรือแบบเดิมจึงไม่มีความจำเป็น
มาดูหินที่ใช้แกะagalmatolite หินตุ๊กตาจีน เป็นหินเนื้ออ่อน สีเขียวอมเทา (ภาษาแต้จิ๋วเรียก หินฮ่วยเส่งง้ำ) มีมากในประเทศจีนและญี่ปุ่นหินชนิดนี้เมื่อขุดขึ้นมาใหม่ๆ จะมีเนื้ออ่อน มีความร้อน เมื่อกระทบกับอากาศภายนอกจะขึ้นไอ เหมาะสำหรับแกะสลักเป็นรูปต่างๆ ทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ จะแข็งตัว การสลักก็ขึ้นอยู่กับช่าง จะเอาคนที่ฝีมือระดับเทพก็วิจิตรพิศดารเหมือนปั้นจากดินน้ำมัน แต่ถ้าเป็นช่างระดับพื้นๆ ก็สลักพอให้หินมีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเอามาขายได้ดีกว่าบรรทุกหินอับเฉาธรรมดาๆขายไม่ได้ตัวอย่างที่เห็นได้ในประเทศไทย ได้แก่ ตุ๊กตาและสิงโตและเทพจีน รอบๆวัดกลาง และมีเจดีย์หินอีกด้วย รวมทั้งวัดเก่าแก่ใน กรุงเทพฯเช่น ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดเทพธิดาราม ฯลฯ ที่นำเข้ามาจากประเทศจีน และนำเข้ามาเป็นเครื่องบรรณาการในรัชกาลที่ 2 และที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และในขณะขนส่งมานั้นได้ใช้ประโยชน์ในการถ่วงน้ำหนักเรือด้วย
ในประเทศญี่ปุ่น ได้ผลิตเป็นเหมืองหินขนาดใหญ่ เพราะสามารถใช้เป็นคานวางบนพื้นดิน เพื่อรองรับโครงสร้างของอาคาร รวมทั้งใช้สร้างกำแพงด้วย บางแห่งได้มีการแกะสลักหินนี้จากภูเขาทั้งลูก เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ เช่น ที่ใกล้กับตำบลมาชิโกะ ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางเหนือประมาณ 100 กิโลเมตรและ เนื่องจากหินชนิดนี้ มีสารประกอบของเหล็กเป็นส่วนผสมอยู่มาก จึงใช้เป็นส่วนประกอบของน้ำยาเคลือบเครื่องดินเผา ได้สีน้ำตาลที่สวยงามเป็นพิเศษ ตุ๊กตาจีนตัวใหญ่ยักษ์ มีชื่อเรียก คือ "ลั่นถัน" และได้มีการบันทึกไว้ในพงศาวดาร ว่า "เมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ การค้าเรือสำเภากลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งนับแต่รัชกาลที่ 2-3 เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องสงคราม โดยเฉพาะรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ที่การค้าสำเภารุ่งเรืองมาก และทรงมีพระราชนิยมในศิลปกรรมจีน
จึงทรงสั่งตุ๊กตาศิลาจีนและรูปจำหลักหินแบบต่างๆ จำนวนมากเพื่อนำมาประดับตกแต่งตามวัดที่ทรงสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ซึ่งมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่รับอิทธิพลของศิลปะจีน จนเรียกกันว่า "ศิลปะแบบพระราชนิยม" นอกจากการสั่งซื้อเข้ามาแล้ว พวกตุ๊กตาจีนและศิลาจำหลักยังมาพร้อมกับเรือสำเภาในฐานะเครื่อง "อับเฉา"ใส่ไว้ใต้ท้องเรือสำเภาเพื่อถ่วงน้ำหนักเรือไม่ให้โคลง เรือสำเภาของไทยที่เดินทางกลับมาจากการค้ากับจีน แม้จะบรรทุกสินค้ามาเต็มลำเรือก็จริง แต่ก็มีน้ำหนักเบา เพราะเป็นพวกผ้าแพร ผ้าต่วน เครื่องเรือน ใบชา ถ้วยชาม ฯลฯ ดังนั้นจึงถ่วงน้ำหนักเรือด้วยอับเฉา เมื่อกลับมาเมืองไทยจึงนำไปถวายตามวัดต่าง ๆ ที่รัชกาลที่ 3 ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ เพื่อประดับตกแต่งตามอุโบสถ วิหาร ศาลา
ส่วนเรือสำเภาของพ่อค้าชาวจีนที่ใช้ตุ๊กตาศิลาบรรทุกเป็น "อับเฉา" ใต้ท้องเรือ เมื่อมาถึงเมืองไทยนำขึ้นทูลเกล้าถวายเป็นเครื่องบรรณาการ รัชกาลที่ ๓ ก็โปรด ถือเป็นความดีความชอบ ชาวจีนเองก็พอใจที่ได้เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของตน จึงกลายเป็นเครื่องส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้เครื่องศิลาและตุ๊กตาศิลาจีนเข้ามาเผยแพร่มากมาย" ประเภทของตุ๊กตาศิลาจีนและเครื่องจำหลักศิลาจีนที่มีอยู่ตามพระอารามในประเทศไทยจำแนกได้หลายรูปแบบ ได้แก่
1. ลั่นถัน หมายถึง ตุ๊กตาหินที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายสวยงามเต็มยศตามธรรมเนียมขุนนางจีนทั้งฝ่ายบู๊ มือถืออาวุธ หน้าตาดุเหมือนจ้องมอง มีเสื้อเกราะรัดตัวอย่างทะมัดทะแมง บางรูปก็เหมือนทหารยืนประจำการอยู่ เป็นนักรบระดับขุนพล และฝ่ายบุ๋น หน้าตาอมยิ้มนิดๆสวมหมวกทรงสูงมือข้างหนึ่งถือหนังสือ ข้างหนึ่งลูบหนวดเคราเหมือนกำลังครุ่นคิด สวมเสื้อคลุมยาวและรองเท้า มองเป็นคนภูมิฐาน เป็นนักปกครอง นักวางแผน และขุนนางแห่งราชสำนัก
2. รูปคนต่างๆ เช่น นักบวช ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก เซียน เทพ ฝรั่ง ซึ่งมีเครื่องแต่งกายแตกต่างกัน
3. รูปสัตว์ แบ่งเป็นสัตว์ในจินตนาการหรือในตำนาน เช่น มังกร หงส์ กิเลน และสัตว์ทั่วๆ ไป เช่น เต่า ม้า ลิง เสือ สิงโต หมู
4. สิ่งของเครื่องใช้ เช่น แท่นบูชา เสามังกร กระถางหิน ถะหรือเจดีย์แบบจีน
5.สิ่งประกอบโครงอาคาร เช่น ขอบกั้นระเบียง บรรได พื้นปูใบเสมาฯลฯ
ความหมายของ "อับเฉา" มาจำแนกมี 3 ความหมาย
ความหมายที่1 หมายถึง ไม่สดชื่น ไม่เบิกบาน เช่น ชีวิตตัวละครตัวนี้ช่างอับเฉาจริง ๆ มีความทุกข์ทั้งเรื่อง
ความหมายที่ 2 หมายถึง ของถ่วงเรือสำเภาเพื่อกันเรือโคลงซึ่งอาจเป็นหินและทราย หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่มีน้ำหนักมาก เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วว่า เอี๊ยบชึง แปลว่าของหนักที่ใช้ถ่วงใต้ท้องเรือเดินทะเล เช่น ตุ๊กตาศิลาจีนที่ตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้าวัดโพธิ์นั้นเป็นอับเฉาที่มาจากเมืองจีน ไม่ใช่ยักษ์วัดโพธิ์อย่างที่เข้าใจกัน
ความหมายที่3 หมายถึงจะใช้ระบบของน้ำอับเฉา (Ships’ Ballast Water) เพื่อปรับจุดศูนย์ถ่วงให้เรือสามารถทรงตัวได้ดี ทำให้แต่ละปีมีการถ่ายน้ำอับเฉาเรือกว่า 5,000,000,000 ตัน และพบสิ่งมีชีวิตพืช-สัตว์ รวมกันกว่า 7,000 ชนิด ปะปนอยู่ในน้ำอับเฉาเรือที่สูบถ่าย เป็นที่มาของปัญหาการนำชนิดพันธุ์ต่างถิ่นไปสู่สิ่งแวดล้อมใหม่ ซึ่งบางชนิดสามารถเติบโตและแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ เศรษฐกิจ รวมทั้งการก่อให้เกิดโรคแก่มนุษย์
เปิดตำนาน...ที่มาชื่อบ้านบ่อแดง อ.สทิงพระ
25 พฤษภาคม 2568 | 359ของดีของหรอยท่าเลออก ตลาดริมทางของผู้สัญจรผ่าน ณ สามแยกบ่อทราย (ปากรอ)
25 พฤษภาคม 2568 | 1,981ตำนานทวดเข้...ทวดขุนดำ-ทวดแขนลาย แห่งสายน้ำคลองท่าม่วง อ.ควนเนียง
25 พฤษภาคม 2568 | 732ร่องรอยจากอดีต พิพิธภัณฑ์วัดท่าช้าง(บางกล่ำ)
18 พฤษภาคม 2568 | 469เจ้าบ่าวน้อยแห่งควนเขาสูง : วีรบุรุษชุมชนท้องถิ่น บ้านพรุเตาะ ต.ทุ่งใหญ่
18 พฤษภาคม 2568 | 722หรางเมืองสงขลาในอดีต ครั้นย้ายเมืองสงขลามาฝั่งบ่อยาง
18 พฤษภาคม 2568 | 754บัวของคนภาคใต้...ที่ไม่ได้หมายถึงดอกบัว
11 พฤษภาคม 2568 | 712ร่องรอยเจดีย์บนเกาะหนู โบราณสถานสำคัญสมัยอาณาจักรอยุธยา
11 พฤษภาคม 2568 | 1,061