สมัยก่อนตอนอยู่พัทลุงนั้นผมเป็นคนมีเพื่อนมาก เพราะเป็นเด็กกิจกรรม ทำให้มีโอกาสพบเจอเด็กจากโรงเรียนอื่น ทั้งจากทั่วพัทลุงเอง และจากตรัง สตูล นครศรี สงขลา พอโตมาต่างคนต่างมีงานทำ ก็ยังคงติดต่อกันอยู่ พอว่างๆก็นัดรวมกลุ่มไปนั่งกินตามร้านอาหารบ้างริมทะเลแบบปูเสื่อนั่งกันมืด ๆบ้าง วันนี้เราจะมีคน ๆ หนึ่ง ชื่อว่า "กี้" ที่จะเล่าเรื่องราวตำนานนี้ให้เราได้ฟังกัน นางเป็นคน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง บ้านอยู่ที่ บ้านปากคลอง หลายคนๆอาจจะบอกว่าไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้ "วัดเขาอ้อ" หลายคนอาจจะร้องอ๋อเพราะวัดเขาอ้อนี้ ในอดีตได้ชื่อว่าเป็นสำนักไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงมาก "ขุนพันธรักษ์ราชเดช"มือปราบโจรชื่อดัง ก็เคยเป็นศิษย์ของสำนักไสยเวทย์นี้
แต่เราจะไม่ได้เล่าถึงความขลังของวัดเขาอ้อ แต่จะมาเล่าตำนานลึกลับของวัดภูเขาทอง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกัน กี้ได้เล่ามาอีกทีนึง วัดภูเขาทอง ตั้งอยู่ติดกับเทศบาลบ้านปากคลอง หากใครนั่งรถไฟผ่านสถานีปาคลองจะเห็นภูเขาหินปูนสูงโดดเด่นเหมือนจอมปลวกหากดูในแผนที่จะพบว่าเขาทอง จะอยู่ตรงกับเขาอ้อในระนาบเหนือใต้แนวเดียวกัน กี้บอกว่าเธอได้ฟังเรื่องนี้มาจากแม่ และแม่ก็ฟังมาจากทวดอีกที (ทวดเสียชีวิตไปแล้ว) เกี่ยวกับภูเขาลูกนี้ ทวดเล่าให้แม่ของกี้ฟังว่าสมัยก่อนทวดปลูกบ้านสร้างครอบครัวอยู่ที่บ้านปากคลองเก่า (ปากคลองที่ติดกับเขาทองนี้เป็นปากคลองที่สร้างขึ้นใหม่ เมื่อมีทางรถไฟตัดผ่านในปี2453)
ทวดของกี้เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนแถบนี้เป็นป่าหญ้า ทุ่งนา และทางเกวียนป่ารกไปสุดลูกหูลูกตาหาความเจริญไม่เจอและเมื่อก่อนนั้น เขาทองก็ไม่ได้ชื่อเขาทองอย่างในปัจจุบัน แต่จะชื่อเขาอะไรนางก็จำไม่ได้ สมัยนั้นวัดเขาอ้อ มีความเป็นเอกด้านไสยศาสตร์จนทั้งเสือ และตำรวจ และคนทั่วไป เดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์กันมาก เพราะอยากหนังเหนียวแน่นอนตำรวจกับเสือย่อมไม่ถูกกัน ยิ่งพัทลุงนี้ในอดีตได้ชื่อว่าเป็นถิ่นเสือ เสือจึงมากไม่ต่างกับสุพรรณ อ่างทอง สิงห์บุรี ของภาคกลางพวกตำรวจและคนสุจริตเมื่อเดินทางมาวัดเขาอ้อ ก็นอนอาศัยที่วัดเขาอ้อได้เลยเพราะไม่ต้องเกรงกลัวอะไรแต่พวกเสือสางนั้น จะไม่กล้านอนที่นั่นเพราะกลัวเจอตำรวจ จะเข้าไปนอนที่บ้านปากคลองเก่า ก็กลัวชาวบ้านจะไปแจ้งตำรวจพวกเสือนั้นจึงได้ไปอาศัยถ้ำใหญ่ ที่ตีนเขาทอง เป็นที่พัก ที่อยู่ในระยะไกลชั่วเคี้ยวหมากแหลก พอสบโอกาสปลอดโล่งคนก็จะลอบเข้ามาฝากตัวขอของดีที่วัดเขาอ้อกลับไป
ทวดของกี้ บอกว่าชาวบ้านปากคลองยุคนั้นรู้ดีว่าที่ถ้ำใหญ่ตีนเขาลูกนั้นมีพวกโจรไปอาศัยใช้เป็นที่หลับนอนอยู่ แต่ก็ไม่ใคร่มีใครจะไปแจ้งตำรวจ เพราะไม่อยากมีภัยมาถึงตัวได้แต่บอกกล่าวบรรดาลูกหลานที่เป็นหญิงสาว ไม่ให้เข้าไปใกล้เขาลูกนั้น เพราะอาจจะถูกพวกเสือฉุดเอาไปได้ ปี 2453 การเข้ามาของทางรถไฟที่ตัดผ่านพัทลุง โดยขุนนิพัทธ์ฯ เฉียดเข้ามาใกล้เขาลูกนั้นนำความเจริญมาให้พวกโจรที่เคยอาศัยถ้ำใหญ่ตีนเขาก็ไม่กล้าอยู่ เพราะกลัวทางการจะจับกุมพร้อม ๆ กับการเข้ามาตั้งสำนักสงฆ์ของพระธุดงรูปหนึ่ง ที่ยึดเอาถ้ำใหญ่ตีนเขาเป็นที่จำวัดและปฏิบัติธรรม จนเมื่อกองทัพญี่ปุ่นจู่โจมประเทศไทยเช้าตรู่ของวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 โดยยกพลขึ้นบกพร้อมกันเจ็ดจุด มีจังหวัดสมุทรปราการ(บางปู)เท่านั้นที่ไม่มีการปะทะ นอกนั้นปะทะกับคนไทยทุกจุดคือ จังหวัดประจวบ จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา จังหวัดปัตตานี
เมื่อรัฐบาลไทยยอมให้ญี่ปุ่นผ่านแดน ทหารญี่ปุ่น ก็ใช้ทางรถไฟลำเลียงข้าวของ อาวุธ และสมบัติที่ยึดได้จากมลายา ของอังกฤษ ขึ้นเหนือ เพื่อไปสมทบกับกองกำลังที่จะบุกพม่า ว่ากันว่า ญี่ปุ่นนั้นมีทองและเงินเป็นหลายโบกี้รถไฟ ที่ยึดจากหัวเมืองมลายูอันมั่งคั่งของอังกฤษก็ส่งผ่านเมืองพัทลุงอยู่เนืองๆ นถึงปี2488 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามพวกทหารที่อยู่นอกดินแดนตามพื้นที่ต่างๆ ก็ทำการฆ่าตัวตายไปเสียมาก และหนึ่งในจำนวนนั้น มีทหารญี่ปุ่นกลุ่มนึงที่เป็นกลุ่มลำเลียงทองคำและอยู่ในเขตพัทลุง เมื่อรู้เช่นนั้นจึงเสาะหาสถานที่ ที่จะเอาทองคำและสมบัติทั้งหมดไปซ่อนเอาไว้ก่อนจนมารู้ว่า ที่ภูเขาใกล้สถานีปากคลอง มีถ้ำใหญ่อยู่ตีนเขา เข้าออกไม่ลำบาก จึงจัดการลำเลียงทองคำทั้งหมด เข้าไปไว้ในถ้ำ ก่อนจะระเบิดปิดปากถ้ำ พร้อมกับขังตัวเองให้กลายเป็นผีเฝ้าทรัพย์อยู่ในถ้ำนั้น อันเป็นที่มาของชื่อ "เขาทอง"
เล่าต่อว่า พอพวกนักเลงเจอทางลงบนยอดเขา ก็พากันปีนลงปล่องไปแต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นคนกลุ่มนั้นกลับออกมาอีกเลยคาดว่าถ้าไม่ขาดอากาศตาย ก็คงลงไปเจออะไรที่สยดสยองข้างล่างแน่ ๆ กี้บอกว่าวันดีคืนดี ก็มีคนเห็นแสงไฟเป็นดวงขาว ๆ ลอยขึ้นมาจากเขาทองยิ่งสมัยทหารญี่ปุ่นระเบิดขังตัวเองตายอยู่ในถ้ำไปใหม่ๆนั้น มีชาวบ้านที่ทำไร่ทำนาติดเขาทอง เล่าว่า ตอนนั้นตะวันโพล้เพล้ เริ่มจะมืด ตนก็เก็บอุปกรณ์ทำนา เตรียมตัวเดินทางกลับพอเดินแบกจอบแบกพร้าผ่านตรงจุดที่เคยเป็นปากถ้ำ ซึ่งตอนนั้นถูกระเบิดหินลงมาปิดแล้ว มองขึ้นไปตรงจุดนั้นก็ขาสั่นเยี่ยวแทบราด แต่พราะเห็นร่างทหารญี่ปุ่นหลายร่างบางร่างนั่งบางร่างยืนที่จำได้ติดตาคือ มีร่างนึง มองมาทางตนหน้าตาถมืงทึง เหมือนตาจะทะลักออกมานอกเบ้ายังไงยังงั้น สุดท้ายทนอยู่ไม่ได้ ก็ทิ้งจอบพร้า วิ่งกลับตัวปลิวมาบอกคนที่บ้าน
ชวนคนอื่นกลับไปเป็นเพื่อนเพื่อเอาจอบพร้า ก็ไม่มีใครเอาด้วยเพราะกลัว ล้วนต่างบอกว่า อ้ายพวกผีทหารญี่ปุ่นในถ้ำปิดตายนั่นแลที่ออกมาหลอกหลอน มันคงหวงสมบัติ เลยออกมาหลอกไม่ให้ใครเข้าใกล้สมบัติของมัน งแต่นั้นมา ก้ไม่มีใครหาญกล้าคิดจะเข้าไปเอาสมบัติที่ว่านั้นอีกเลย ทุกวันนี้สมบัติทหารญี่ปุ่นที่เขาทองนั้น ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป เพราะได้กลายเป็นเขตของวัดและโรงเรียน ยากที่ใครจะเข้าไปขุดหาได้อีก พร้อมๆกับเรื่องราวที่เริ่มหายไปกับคนยุคนั้นที่ล้มหายตายจากไปกันหมด เด็กรุ่นใหม่ที่พอจะรู้เรื่องนี้ก็มีไม่กี่คน และรับรู้มาจากคนรุ่นก่อนอีกทีจริงหรือไม่จริงก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะไม่รู้จะไปถามหาจากใครก็กลายเป็นเรื่องเล่าสนุกๆกันไป แต่หากใครอยากจะลองพิสูจน์ ปล่องบนยอดเขาก็ลองไปปีนดูกันได้นะอย่าลืมไปสักการะเจดีย์เล็กๆ บนยอดเขาด้านทิศใต้ด้วยล่ะ ที่แน่ๆ วิวบนนั้นสวยดี เสียดายผมไปปีนในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ถ่ายรูป และปัจจุบันก็ไม่มีเวลาไปปีนอีก ยิ่งมารู้เรื่องราวตำนานนี้เข้าด้วยแล้ว ยิ่งกลัว ไม่กล้าไปส่วนใครอยากจะลอง ก็เชิญได้เลยจ้า
ขอบคุณภาพและข้อมูล : สมาชิกพันทิป
ร่องรอยจากอดีต พิพิธภัณฑ์วัดท่าช้าง(บางกล่ำ)
18 พฤษภาคม 2568 | 89เจ้าบ่าวน้อยแห่งควนเขาสูง : วีรบุรุษชุมชนท้องถิ่น บ้านพรุเตาะ ต.ทุ่งใหญ่
18 พฤษภาคม 2568 | 80หรางเมืองสงขลาในอดีต ครั้นย้ายเมืองสงขลามาฝั่งบ่อยาง
18 พฤษภาคม 2568 | 114บัวของคนภาคใต้...ที่ไม่ได้หมายถึงดอกบัว
11 พฤษภาคม 2568 | 409ร่องรอยเจดีย์บนเกาะหนู โบราณสถานสำคัญสมัยอาณาจักรอยุธยา
11 พฤษภาคม 2568 | 418ศาลาตาเล่อเท่อ ที่พึ่งของชาวบ้านเมื่อของสำคัญสูญหาย
27 เมษายน 2568 | 782จากอดีตบ้านทุ่งเหม็นขี้ สู่บ้านทุ่งขมิ้น(นาหม่อม)
27 เมษายน 2568 | 407บุกป่าหาน้ำตกลับ...น้ำตกโตนหน้าผี ณ เขาพระ อ.รัตภูมิ
27 เมษายน 2568 | 728