วัดคลองเรียนตั้งอยู่บ้านเลขที่1 บ้านคลองเรียน ถนนศรีภูวนารถ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา วัดคลองเรียนสร้างขึ้นราวปี พ.ศ 2210 ตามคำบอกเล่าเจ้าอาวาสวัดคลองเรียนในแต่ก่อน เดิมวัดนี้เรียกว่า วัดคลองเวียน เนื่องด้วยในอดีตเคยมีลำคลองเวียนรอบวัด ชาวบ้านจึงสร้างชื่อตามลักษณะพื้นที่และต่อมาจึงเพี้ยนเป็นคลองเรียน และที่สำคัญเอง วัดคองเรียนเป็นวัดแรกในอำเภอหาดใหญ่ และเป็นที่ศึกษาเล่าเรียนด้วย
นายไข่ ไชยโรจน์ อายุ 90 ปี พักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 37 ซอย 14 ถนนศรีภูวนารถ ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้บอกเล่าเรื่องราวของวัดคลองเรียนในสมัยเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่า ราวต้นเดือนธันวาคม ของปี พ.ศ. 2484 ขณะนั้นเองเป็นเวลากลางวันตนกำลังทำไร่ไถนาอย่างปกติที่บ้านทุ่งเสา ได้ยินชาวบ้านที่ผ่านไปมาตามรายทางพูดคุยกันว่ามีทหารญี่ปุ่นหลายสิบหมื่นนายยกพลขึ้นบกที่เก้าเส้ง กำลังมุ่งตรงมาทางบ้านคลองเรียนเพื่อจะผ่านไปตี “มลายู” ตนจึงรีบเดินทางกลับไปยังบ้านเดิมที่ตั้งอยู่ที่สามแยกคลองเรียน
ปรากฏว่าพบทหารญี่ปุ่นมีอาวุธครบมือทั้งปืนปลายดาบ และปืนใหญ่ เดินเท้าบ้าง นั่งรถยนต์บ้างมุ่งมาจากทางคอหงส์เป็นขบวนยาวอย่างมีระเบียบ บางส่วนก็เดินผ่านสามแยกคลองเรียนมุ่งตรงไปทางสะเดา ทหารบางส่วนพอเดินพ้น วังน้ำดำ (วังน้ำดำ คือ วังน้ำขนาดใหญ่ในอดีต ปัจจุบันคือเปิดท้ายขายของกรีนเวย์)ก็ไปตั้งค่ายพักริมทางที่ เนินดิน ข้างป่าช้าโคกโพธิ์ (เนินดิน ดังกล่าวในปัจจุบันคือ ศูนย์หลวงประธาน)
ชาวบ้านคลองเรียนในขณะนั้นเมื่อได้เห็นทหารญี่ปุ่นเต็มบ้านเต็มเมืองต่างก็ตกอยู่ในอาการขวัญหนีดีฝ่อแทบทั้งสิ้น วัดคลองเรียนจึงกลายเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวบ้านคลองเรียนในขณะนั้นโดยมีชาวบ้านหลายคนที่เข้าไปขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดคลองเรียนเข้าใจว่าน่าจะเป็นหลวงพ่อเกตุแดง และรูปเคารพหลวงพ่อปาน ลิ้นดำ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองขออย่าให้ทหารญี่ปุ่นทำอันตรายแก่ตนและครอบครัวได้ (ขณะนั้นวัดคลองเรียนมี พระยก เป็นเจ้าอาวาส) อาจจะด้วยวัดคลองเรียนมิใช่เส้นทางผ่านโดยตรงของทหารญี่ปุ่น หรือด้วยเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัดคลองเรียนก็ไม่ทราบได้ ชาวบ้านครองเรียนจึงไม่ถูกทหารญี่ปุ่นทำร้ายเอาแต่ประการใด
นอกจากนี้แล้วในอดีตยังปรากฎพบประติมากรรมเคารพบูชาภายในวิหารรายข้างอุโบสถ ติดถนนศรีภูวนารถ พระสังกัจจาย ถือเป็น 1 ใน ไตรภาคี แห่งพระผู้ดลบันดาลโชคลาภและความมั่งมีศรีสุขให้แก่ผู้นับถือและเคารพบูชา อันประกอบไปด้วย พระสีวลี พระบัวเข็ม หรือพระอุปคต และพระสังกัจจาย โดยรูปลักษณ์ของพระสังจัจจายตามที่คนส่วนใหญ่เชื่อกันนั้นกล่าวกันว่าท่านเป็นพระเจ้าเนื้อ อ้วนท้วนสมบูรณ์ ใบหูยาว พระพักตร์ค่อนข้างกลมใหญ่ และที่สำคัญคือท่านนั้นพุงพลุ้ย
ส่วนสาเหตุที่ท่านต้องพุงพลุ้ยนี่ก็มีความเชื่อสืบเนื่องมาแต่อดีตว่า ในสมัยก่อนมนุษย์บางคนมีความชั่วภายในจิตใจอยู่มากและความชั่วดังกล่าวนี้เองก่อให้เกิดความทุกข์และความเดือดร้อนต่างๆนาๆตามมามากมาย ท่านจึงดึงหรือดูดความไม่ดีดังกล่าวมากักขังไว้ในพุงอันพลุ้ยของท่าน พระสังจัจจายที่ปรากฏอยู่ในวิหารรายข้างอุโบสถวัดคลองเรียนนี้จัดเป็นพระสังกัจจายของทางฝ่ายนิกายหินยานเนื่องด้วยสังเกตดูแล้วท่านมีไรพระเกศาเป็นเม็ดกลม และท่านมีพระพักตร์ที่สงบนิ่ง
พร้อมทั้งรูปเคารพหลวงพ่อป่านที่คนระแวกนี้เคารพนับถือกันอย่างมาก ส่วนสาเหตุที่ท่านได้นามว่า “ปาน” นั้นมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ในสมัยเด็กท่านมีปานปิดตรงบริเวณทวารหนักลากยาวไปข้างบนจนถึงสะเอว รอยปานนี้เองที่แลดูคล้ายกับลิ้นโค จึงเรียกท่านว่า “ปาน” บ้างก็เรียกท่านว่า ปาน ลิ้นดำ เนื่องจากปานดำอันแลคล้ายลิ้นโค นอกจากตรงนี้เองยังมีความเชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อป่านดังนี้ ที่ชาวคลองเรียนให้ความศรัทธากัน ดังนี้
1.ความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องวาจา ล้วนเชื่อกันว่าท่านพระอุปัชฌาย์ปาน ปุญฺญมโน นั้นท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ กล่าวคือ เมื่อท่านกล่าวหรือพูดว่าอย่างไรก็จะได้ผลตามนั้น
2.ความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการบนบาน ล้วนเชื่อกันว่า ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนประการใดก็ตามหากมาทำการบนบานกับรูปเคารพบูชาของท่าน หรือเพียงระลึกถึงท่านแล้วทำการบนเอาไว้ก็ย่อมได้รับการช่วยเหลือเสมอมา แต่มีข้อแม้ว่าผู้ที่ทำการบนบานจะต้องเป็นคนดีอันอยู่ในศีลในธรรม เพราะเชื่อกันว่าท่านพระอุปัชฌาย์ปาน ปุญฺญมโน แห่งวัดคลองเรียนนั้นท่านไม่ช่วยคนพาล อนึ่ง ในช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (ราวปี พ.ศ. 2484) ได้มีชาวบ้านคลองเรียนเป็นจำนวนมากมาทำการบนบานเอาไว้กับท่านขอให้ท่านช่วยปกป้องรักษาคุ้มครองให้ปลอดภัยจากการทำร้ายของทหารญี่ปุ่น และชาวบ้านเหล่านั้นก็มิได้รับอันตรายจากทหารญี่ปุ่นแต่อย่างใด จึงล้วนเชื่อกันว่าท่านพระอุปัชฌาย์ปาน ปุญฺญมโน แห่งวัดคลองเรียนนั้นเป็นผู้ช่วยปกป้องคุ้มครองชาวบ้านครองเรียนในครั้งนั้น และมีการแก้บนนั้นตามความเชื่อของชาวบ้านครองเรียนในสมัยนั้นนิยมแก้บนด้วยขนมโค(ขนมหนุมานคลุกฝุ่น) เนื่องด้วยเชื่อกันว่าท่านพระอุปัชฌาย์ปาน ปุญฺญมโนนั้นท่านชอบทานขนมโค
3.ความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการเป็นหมอยา ล้วนเชื่อกันว่าท่านพระอุปัชฌาย์ปาน ปุญฺญมโน นั้นเป็นหมอยาผู้วิเศษ มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งท่านเคยถูก “งูพญาตะบองหลา” หรือ งูบอง กัดเอาแต่ปรากฏว่าท่านไม่เป็นอะไรเลย หรือเรื่องที่ว่าท่านสามารถรักษาคนที่ถูกสุนัขบ้ากัดให้หายเป็นปลิดทิ้งได้ด้วยยาของท่าน ชาวบ้านคลองเรียนจึงเชื่อว่าท่านเป็นประหนึ่งหมอเทวดาที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของชาวบ้านได้ เป็นต้น
4.ความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องคาถาอาคมต่างๆ ล้วนเชื่อกันว่าท่านพระอุปัชฌาย์ปาน ปุญฺญมโน นั้นท่านมีความสามารถทางด้านคาถาอาคมต่าง ๆ อีกด้วย
จึงเป็นเรื่องราวที่ชาวบ้านแถบคลองเรียนให้ความศรัทธาต่อหลวงปานอย่างยิ่งและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเสมอมา
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : คุณาพร ไชยโรจน์
ศาลาตาเล่อเท่อ ที่พึ่งของชาวบ้านเมื่อของสำคัญสูญหาย
27 เมษายน 2568 | 237จากอดีตบ้านทุ่งเหม็นขี้ สู่บ้านทุ่งขมิ้น(นาหม่อม)
27 เมษายน 2568 | 220บุกป่าหาน้ำตกลับ...น้ำตกโตนหน้าผี ณ เขาพระ อ.รัตภูมิ
27 เมษายน 2568 | 279ศาลเจ้าแม่กวนอิมสวนหมาก ศาลเจ้าแห่งแรกที่ริเริ่มทำโรงทานเจในสงขลา
20 เมษายน 2568 | 257พาชม...บ้านขุนตระการตะเครียะเขต บ้านเก่าโบราณนับร้อยปี "บ้าน 108 เสา"
30 มีนาคม 2568 | 946รู้หม้ายว่า? สงขลาเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีวันประจำจังหวัด
30 มีนาคม 2568 | 739เปิดตำนานความเชื่อ พ่อปู่ภุชงค์-แม่ย่าทองคำ วัดโคกเปี้ยว สงขลา
30 มีนาคม 2568 | 596ศาลเจ้าพ่อทวดหมอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่ตำบลคูขุด อ.สทิงพระ
2 มีนาคม 2568 | 873