หางานหาดใหญ่ หาดใหญ่ ชัดทุกเรื่องเมืองหาดใหญ่ สงขลา อับเดตข่าวหาดใหญ่ Hatyaifocus สาวสวยหาดใหญ่ หนุ่มหล่อหาดใหญ่

ข่าวสังคมและการเมือง

สิงหนคร | แม่ร้องคนร้ายปริศนาแอบอุ้มลูก 2 ขวบ ไปทุบตีไฟจี้เป็นแผลเต็มตัวเป็นครั้งที่ 2 เบื้องต้นพบพิรุธหลายอย่าง ชาวบ้านคาดแม่เด็กทำเอง
10 สิงหาคม 2565 | 7,048
สิงหนคร | แม่ร้องคนร้ายปริศนาแอบอุ้มลูก 2 ขวบ ไปทุบตีไฟจี้เป็นแผลเต็มตัวเป็นครั้งที่ 2 เบื้องต้นพบพิรุธหลายอย่าง ชาวบ้านคาดแม่เด็กทำเอง

วันที่ 9/8/65 จากกรณีเกิดเหตุเด็กชายอายุเพียงแค่ 2 ขวบกว่า ถูกคนร้ายปริศนาอุ้มจากเบาะที่นอนในบ้านพักไปทุบตีทำร้ายร่างกายจนน่วม เนื้อตัวเกิดรอยแดงช้ำเกือบทั้งตัว และยังมีแผลพุพองตามตัวอีกหลายจุดเหมือนกับถูกไฟจี้ ซึ่งแม่ของเด็กได้ออกมาเรียกร้องให้ตำรวจเร่งสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 และเธอเคยแจ้งความกับตำรวจไว้ แต่คดียังไม่คืบหน้า หาตัวคนทำไม่ได้ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านเลขที่ 31/2 ม.7 ตำบลเขาแดง อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ภายในบ้านเช่ามุงสังกะสี

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านหลังเกิดเหตุ ซึ่งได้พบกับ นางสาวสมจิตร (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี แม่ของน้องสตาร์ อายุ 2 ขวบ 7 เดือน โดยเธอเชื่อว่า ลูกของเธอถูกคนร้ายปริศนาทำร้ายร่างกายลูกและแอบอุ้มไปทำร้ายจากที่นอนในบ้านช่วงกลางดึก 

จากนั้นนางสาวสมจิตรได้ถอดเสื้อผ้าลูกชายให้ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบโดยตามร่างกายของน้องสตาร์ พบร่องรอยการถูกทำร้ายจริงมีบาดแผลถูกทุบตี และรอยคล้ายถูกไฟจี้ตามร่างกายหลายแห่ง ทั้งบริเวณแผ่นหลัง มีรอยแผลแดงช้ำเหมือนกับถูกฟาดอย่างแรงซ้ำๆหลายครั้งเต็มแผ่นหลัง ใบหน้ามีรอยฟกช้ำ ส่วนบริเวณแก้มน้องมีแผลคล้ายถูกไฟจี้เป็นแผล

จากการสอบ นางสาวสมจิตร ได้เล่าว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องสตาร์ลูกชายถูกอุ้มออกจากบ้านไปทำร้าย เพราะเมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ลูกชายก็เคยถูกคนร้ายแอบอุ้มจากบ้านไปทุบตี เวลาประมาณ ตี 3 ตอนนั้น ตนเองกำลังนอนหลับอยู่ได้ยินเสียงร้องของลูก จึงวิ่งออกไปดู และเห็นคนร้าย ซึ่งจำหน้าได้ว่าชื่อ สิต เป็นคนในชุมชน กำลังใช้ไม้ทุบตีลูกชายอยู่ใต้ต้นมะขามใกล้บ้าน จึงเข้าไปช่วย และถามว่า “ตีลูกเธอทำไม นายสิต ไม่ตอบและได้วิ่งหลบหนีไปทันที ส่วนพฤติกรรของนายดุสิต เท่าที่ทราบมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดด้วย 

หลังเกิดเหตุครั้งแรง ตนเองได้เข้าแจ้งความไว้แล้ว ที่สภ.สิงหนคร แต่ไม่ทราบว่า คดีไปถึงไหนแล้ว เพราะดุสิตยังไม่ถูกจับกุม และเมื่อ 2 วันก่อนตำรวจเพิ่งให้ไปชี้จุดเกิดเหตุใต้ต้นมะขามที่ลูกถูกทำร้าย และที่น่าสังเกต คือ ลักษณะการถูกทำร้ายครั้งแรก กับครั้งนี้ ก็คล้ายๆกัน ลูกชายมีร่องรอยถูกตีที่หลัง และมีแผลคล้ายถูกไฟจี้ ซึ่งคนร้ายน่าจะเป็นคนคนเดียวกัน 

โดยเหตุการณ์แรก เกิดขึ้นที่บ้านเช่าเลขที่ 48/4 หมู่ 1 ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร ซึ่งหลังลูกชายถูกทำร้าย ด้วยความกลัว จึงย้ายลูกมาอยู่ที่บ้านแม่ ซึ่งอยู่ในชุมชนเดียวกัน และคิดว่าลูกจะปลอดภัยแล้ว

กระทั่งล่าสุดเมื่อช่วงคืนวันที่ 7 สิงหาคม ลูกชายก็ถูกอุ้มจากเบาะที่นอนไปทำร้ายอีก ตอนนั้นนอนอยู่ในบ้านเช่าหลังนี้กัน 3 คน คือ ลูกชาย อายุ 7 ขวบ และน้องสตาร์ โดยน้องสตาร์นอนกับตนเองอยู่บนเบาะที่นอน ส่วนสามีตนเองไม่อยู่บ้าน เพราะเป็นลูกเรือประมงไปออกเรือ

ก่อนเกิดเหตุ เท่าที่จำได้ ตนเองได้เข้านอนในเวลาเที่ยงคืน หลับสนิทเพราะกินยาแก้หวัดเข้าไป และเมื่อคืนนี้ลืมล็อคกุญแจด้านนอกบ้าน เพียงแค่ขัดไม้ไว้ด้านในเท่านั้น กระทั่งเธอมาสะดุ้งตื่นอีกที เวลาประมาณ ตี 4 แม่ของเธอที่พักอยู่บ้านข้างๆ ได้ตะโกนเรียกจะปลุกไปงานแต่งงานในช่วงเช้า แต่เมื่อตื่นขึ้นมาปรากฏว่า น้องสตาร์ ได้หายไปจากที่นอน ตนเองและชาวบ้านพยายามตามหาแต่ก็ไม่พบ มีเพียงร่องรอยเดินย้ำผักบุ้งที่คลองหลังบ้าน จึงได้เข้าแจ้งความที่สภ.สิงหนคร แต่ตำรวจยังไม่รับแจ้งบอก ว่ายังไม่ถึง 24 ชั่วโมง แต่ก็จะส่งตำรวจมาช่วยตามหา 

ทีแรกตนเองคิดว่า ลูกชายน่าจะถูกชายคนเดิมอุ้มไปทำร้ายตรงจุดเดิมที่เคยถูกพาไปครั้งแรก จึงกำลังไปตามหาลูกชายที่จุดเกิด แต่ยังไม่ถึง ระหว่างทางได้พบลูกชาย กำลังยืนอยู่ริมทะเล มีชาวบ้านได้ช่วยเอาไว้ ในสภาพที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนตม และร่างกายถูกทำร้าย แต่ลูกชายก็ไม่ได้ร้องไห้ ตนเองตกใจมาก ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชาย จึงพาตัวลูกชายไปแจ้งความที่ สภ.สิงหนคร และพาไปตรวจร่างกาย 

เรื่องทั้งหมดนี้ เธอยืนยันว่า เธอไม่ได้สร้างเรื่องโกหก และลูกชายถูกคนร้ายปริศนา อุ้มไปทำร้ายจริงๆ และอยากให้ตำรวจช่วยติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษให้ได้ เพราะไม่รู้เลยว่า คนร้ายต้องการอะไรกันแน่ และถือเป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณกับเด็กมาก โชคดีที่ลูกยังไม่ถูกฆ่าตาย ที่ผ่านมาครอบครัวของเธอไม่เคยไปทะเลาะหรือมีปัญหาอะไรกับใครด้วยซ้ำ 

ไม่เคยคิดทำร้ายลูก สร้างเรื่องหลอกนักข่าว มั่นใจลูกชาย 2 ขวบ ถูกคนร้ายปริศนาอุ้มไปทำร้ายจริง เชื่อมีการวางแผนมาอย่างดี พบคลองหลังบ้านมีไม้วางข้ามคลองเพื่อเอาไว้ข้ามมาก่อเหตุ และหลบหนี เธอไม่เคยคิดสร้างเรื่องหลอกนักข่าว และไม่ใช่คนทำร้ายลูกอย่างที่นายดุสิต ผู้ต้องสงสัยอ้าง แต่ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อ 4 ปีก่อน เคยมีปัญหาทะเลาะกับนายดุสิต ตอนที่เธอเคยเช่าห้องพักอยู่ริมชายหาด ซึ่งอยู่ใกล้กับขนำนายดุสิต 

ในตอนนั้น ลูกชายคนโตของตนเอง นั่งเล่นเกมโทรศัพท์กดอยู่หน้าบ้านเช่า ระหว่างนั้นนายดุสิตได้เดินผ่าน และลูกชายได้ตะโกนด่าเพื่อนในเกมว่า “ไอ้บ้า” ตอนนั้น ตัวนายดุสิตได้ยินเข้า ทำให้เข้าใจว่า ลูกชายของเธอไปด่านายดุสิตว่าบ้า ทำให้นายดุสิตโมโห และจะเดินเข้ามาตบลูกชาย โชคดีตนเองออกมาเห็นพอดี จึงได้มีปากเสียงกับนายดุสิตครั้งนั้น 

เธอเชื่อว่า อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นายดุสิตเครียดแค้นครอบครัวของตนเอง และแอบมาอุ้มลูกชายคนเล็ก ไปทำร้ายร่างกาย เมื่อ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเธอยืนยันว่า คืนตี 3 วันนั้น นายดุสิต กำลังเอาสายเบรกรถจักรยานฟาดลูกชายอยู่ใต้ต้นมะขามจริง ตนเองวิ่งเข้าไปห้ามและถามว่าทำลูกชายทำไม นายดุสิตก็ไม่ตอบและเดินหนีไปจริงๆ ซึ่งทั้งหมดตนเองจึงเชื่อว่า ครั้งล่าสุดที่ลูกชายโดนคนทำร้ายอีกครั้ง น่าจะเป็นฝีมือของนายดุสิตคนเดิม เนื่องจาก ลักษณะบาดแผลที่ลูกถูกตีคล้ายกับครั้งแรก 

เธอยืนยันอีกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาหรือศัตรูที่ไหน และไม่รู้ว่าคนร้ายที่ทำร้ายลูกชายนั้น ต้องการอะไรกันแน่ แต่สิ่งที่คนร้ายทำกับลูกนั้นโหดร้ายและทารุณมาก และสงสัยว่า ทำไมต้องมาทำร้ายลูก ถ้าแค้นโกรธเธอ ทำไมไม่ทำร้ายเธอแทน เพราะก็นอนอยู่กับลูกด้วยกัน และหากจะมาทำร้าย ก็ขอให้มาทำร้ายตนเองดีกว่า 

จากการสอบถาม ยายของเด็กซึ่งเชื่อว่าหลานถูกคนร้ายทำร้ายจริง และคนร้ายวางแผนเป็นอย่างดี เนื่องจากไม่เข้าทางประตูหน้า ไม่มีโคลนหรือน้ำบนพื้นบ้าน และยังพบแผ่นไม้ถูกวางไว้เพื่อข้ามคลองหลังบ้าน

จากการสอบถาม นางตา ยายของเด็ก ได้เล่าว่า ตนเชื่อว่า หลานชายถูกคนร้ายแอบเข้ามาอุ้มถึงในบ้านจริง เพราะตอนนั้นตนเองได้ตะโกนเรียกให้ลูกสาวตื่นไปช่วยงานแต่งเพื่อนบ้าน เวลา 04.48 น. ซึ่งเมื่อลูกสาวตื่นขึ้นมา ก็ไม่เจอหลานชายแล้ว และตนเองได้ช่วยกันตามหารอบบ้านก็ไม่พบ

ลูกสาวคงไม่โกหกเพราะไม่รู้จะทำไปทำไม โดยตนเชื่อว่าคนร้ายมีการวางแผนมาอย่างดี เนื่องจาก ช่วงที่หลานถูกอุ้มไป คนร้ายไม่ได้เข้ามาทางหน้าบ้าน เพราะบริเวณประตูหน้าบ้าน ก่อนจะเข้านอน พวกตนเองจะเอาไม้ค้ำยันประตูหน้าบ้านไว้ ซึ่งคืนวันเกิดเหตุ ประตูบ้านยังปิดปกติ แต่ประตูในบ้านที่จะเข้าห้องนอนวันเกิดเหตุไม่ได้ล็อกไว้ มีเพียงประตูด้านในบ้านซึ่งติดกับที่เด็กนอน ถูกเปิดคาไว้ 

และตนเชื่อว่า คนร้ายได้แอบเข้ามาทางหลังบ้านแน่นอน ซึ่งเป็นคลอง และคนร้ายได้วางแผนมาอย่างดี เพราะหากเดินข้ามคลองมาตัวคนร้ายจะต้องเปียกน้ำหรือเปื้อนโคลน แต่บริเวณหน้าประตูบ้านกลับไม่พบรอยโคลนหรือน้ำเปียกบนพื้นบ้านเลย เมื่อเดินไปดูหลังบ้านหลังจากหลานหาย ก็ยังพบว่า มีรอยคนเดินย่ำในคลองหลังบ้าน และที่คลองหลังบ้านยังพบแผ่นไม้ยาวถูกพาดข้ามคลองไว้ด้วย คาดว่าคนร้ายได้นำมาพาดไว้ก่อนก่อเหตุ เพื่อใช้เป็นเส้นทางเอาเด็กหนีอีกด้วย 

จากการสอบบริเวณประตูเป็นไปได้หรือไม่ ที่คนร้ายจะแอบเปิดประตูเข้ามาอุ้มเด็กออกไป ซึ่งผู้สื่อข่าวได้ทดสอบเปิดประตูสังกะสีดู พบว่า การที่คนร้ายจะแอบเปิดประตูเข้ามาในบ้านนั้น แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดประตูแล้วไม่มีเสียงดัง เนื่องจากพื้นปูนช่วงประตูเปิด เป็นเนินปูนสูงกว่าพื้นบ้านปกติ ทำให้เมื่อเวลาเปิดประตูแล้ว จะได้ยินเสียงสังกะสีครูดกับพื้นบ้าน เสียงดังแน่นอน 

ล่าสุดผู้สื่อได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบเวลาประมาณ 05.48 น. จะเห็นว่า มีชาวบ้านคนหนึ่ง กำลังเดินตามถนน และระหว่างนั้นได้เห็นน้องสตาร์เดินออกมาที่มืด ริมถนน ซึ่งจุดนี้อยู่ห่างจากบ้านของน้องประมาณ 750 เมตร จากนั้นไม่นาน แม่ของน้องซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ออกตามหาลูก ได้ขี่ผ่านมาพอดี ก่อนจะรีบลงจากรถ และรีบวิ่งเข้าไปอุ้มลูกด้วยความดีใจ ท่ามกลางชาวบ้านที่เข้ามามุงดูด้วยความสงสารและสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับเด็ก 

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวพยายามไล่กล้องวงจรปิดดูผู้ต้องสงสัยว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่ ตี 3 มีใครเป็นผู้ต้องสงสัยที่เดินผ่านจุดพบน้องสตาร์หรือไม่ จนพบว่า มีทั้งหมด 3 ราย ที่ผ่านเส้นทางจุดที่พบน้องสตาร์ 

คือ คนที่ 1 เวลาประมาณ 03.30 น. คือ ชายแก่รายหนึ่ง สวมเสื้อสีขาว กางเกงนอนขายาว รองเท้าแตะ เดินไปตามถนน ลักษณะท่าที เดินๆหยุดๆ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปทางบ้านของเด็ก 

คนที่ 2 คือ เวลาประมาณ 05.07 น. จะเห็นชายอีกคน เดินอยู่ในที่มืด เดินผ่านจุดที่พบน้องสตาร์ ในมือคล้ายกับถือถุงอะไรบางอย่าง ก่อนหายไปในความมืด

คนที่ 3 คือ เวลาประมาณ 05.36 น. จะเห็นรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง เลี้ยงเข้าไปจอดภายในสวนริมทางจุดที่พบน้องสตาร์ จากนั้นได้จอดรถเฉยๆอยู่ประมาณ 2 นาที ก่อนที่จะขี่รถจักรยานยนต์ออกไป ซึ่งทีมข่าวพบรถคันนี้ ก่อนที่จะมีคนมาเจอน้องสตาร์ในเวลา 05.48 ซึ่งห่างกันประมาณ 10 นาที 

นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้ข้อมูลอีกว่า วันเกิดเหตุ ตอนที่เจอน้องสตาร์หายตัวไปและเจอน้อง น้องสตาร์ยังสวมรองเท้าทั้งสองข้างอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ เพราะแม่ของเด็กบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนนอนน้องไม่ได้ใส่รองเท้านอน และทำไมคนร้ายหากแอบมาอุ้มน้องจากห้อง ทำไมคนร้ายต้องเอารองเท้าให้น้องใส่ก่อนพาหนี และน้องกลับไม่ส่งเสียงร้องเลย ตำรวจสงสัยตรงนี้ 

และเมื่อสอบถามแม่เด็กรองเท้าของน้องก็ไม่ได้อยู่ที่ประตูหน้าห้องนอน แต่รองเท้าของน้องไปอยู่ประตูหลัง ซึ่งอยู่ห่างจากประตูหน้าห้องนอนประมาณ 10 เมตร ซึ่งเวลานั้น คนร้ายจะมีเวลาหารองเท้าให้น้องใส่ได้อย่างไร ประกอบกับ เวลานั้นมืดมาก ยากมากที่จะมองเห็นรองเท้าเด็ก

 


เรื่องที่เกี่ยวข้อง